หลังจากไม่ได้เขียนบล็อคมานาน เพราะหายไปซุ่มทำสวนขจร/พริกไทยซีลอนอยู่ครับ ตอนนี้สวนขจรของผมก็10เดือนแล้ว หลังจากหาข้อมูลมานานว่าจะปลูกอะไรเพื่อเป็นรายได้หลักของสวน ก็ได้มาเจอดอกขจรนี่แหละครับ
เรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์การปลูกพืช ชนิดต่างๆ แตงร้าน,บวบเหลี่ยม,ถั่วฝักยาว,ผักบุ้งจีน,เลี้ยงไส้เดือนและความรู้อื่นๆ
- หน้าหลัก
- ผลิตภัณฑ์ของเรา
- เกี่ยวกับเรา
- ติดต่อเรา
-
บทความอื่นๆ
- เริ่มต้นทำเกษตรยังไงดี?
- จุดเริ่มต้นของผม
- เริ่มต้นปลูกผักบุ้งจีน>
- เริ่มต้นปลูกผักบุ้งจีน 2
- ก้าวต่อไป "ปลูกบวบเหลี่ยม"
- ทำสวนจริงจัง ต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง(พื้นฐาน)
- คนอื่นไม่ยอมรับ ทำไงดี
- ปลูกแตงร้านดีกว่า เก็บได้เร็วดี
- ปลูกถั่วฝักยาวแซมแตงร้านดีมั้ย ใช้พื้นที่ให้เป็นประโยชน์
- ไส้เดือนดิน ฟื้นฟูดินในสวน
- ใช้สารเคมีกำจัดแมลง หนอน,เพลี้ย อะไรดี
- วิธีเลือกปั้มน้ำ หาแรงดันน้ำอย่างคร่าวๆ
- ศัตรูพืชที่พบประจำ มีอะไรบ้าง?(เพลี้ย)
ค้นหาบล็อกนี้
วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558
วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ศัตรูพืชที่พบประจำ มีอะไรบ้าง? 2 (หนอน,ด้วงเต่า)
ว่ากันต่ออีกบทความครับ สำหรับศัตรูพืชคราวนี้เราจะพูดถึง หนอน ด้วงเต่ากันบ้างว่าชนิดไหนที่เราพบเป็นประจำ
เริ่มด้วยหนอนครับ1. หนอนชอนใบ มีหลายชนิด ถ้าทำลายพืชตระกูลกะหล่ำ เรียกว่า หนอนแมลงวันชอนใบกะหล่ำ หากทำลายหอมเรียกว่า หนอนแมลงวันชอนใบหอม พืชผักหรือไม้ดอกบางชนิดที่ถูกทำลายเกิดจากตัวเต็มวัยเพศเมียวางไข่ที่มีขนาดเล็กภายในผิวพืช เมื่อไข่ฟักเป็นตัวหนอนที่มีลักษณะหัวแหลมท้ายป้าน ตัวหนอนจะชอนไชอยู่ในใบทำให้เกิดรอยเส้นสีขาวคดเคี้ยวไปมา เมื่อนำใบพืชมาส่องดูจะพบหนอนตัวเล็กๆ สีเหลืองอ่อน โปร่งแสงใสอยู่ภายในเนื้อเยื่อใบพืช หากระบาดรุนแรงจะทำให้ใบเสียหายร่วงหล่น ซึ่งจะมีผลต่อผลผลิตพืช หากพืชนั้นๆ ไม่สามารถสร้างใบทดแทนได้พืชก็จะตายในที่สุด
ภาพของหนอนชอนใบและแมลงวันในระยะตัวเต็มวัย
หนอนชอนใบ ตัวเต็มวัยเป็นแมลงวันขนาดเล็ก เพศเมียจะวางไข่ขนาดเล็กไว้ใต้ส่วนของเนื้อเยื่อบางๆ ของพืช ระยะไข่ 2 – 4 วัน เมื่อฟักเป็นตัวหนอนมีลักษณะหัวแหลมท้ายป้าน (รูปกระสวย) เห็นปล้องไม่ชัดเจน ไม่มีขา เคลื่อนไหวโดยการดีดตัว ชอนไชไปตามเนื้อเยื่อพืช ในระยะหนอนใช้เวลาประมาณ 7 – 10 วัน จึงเข้าดักแด้ โดยดักแด้มีรูปร่างคล้ายเมล็ดข้าวสารอยู่ตามส่วนของพืชที่ถูกทำลาย และตามใบร่วงหล่นลงดิน
ในระยะดักแด้ใช้เวลาประมาณ 5 – 7 วัน จึงออกเป็นตัวเต็มวัย แมลงวันจะมีสีดำหรือสีเหลืองตลอดวงจรชีวิตใช้เวลาประมาณ 3 – 4 สัปดาห์
ในระยะดักแด้ใช้เวลาประมาณ 5 – 7 วัน จึงออกเป็นตัวเต็มวัย แมลงวันจะมีสีดำหรือสีเหลืองตลอดวงจรชีวิตใช้เวลาประมาณ 3 – 4 สัปดาห์
หนอนชอนใบ เป็นแมลงศัตรูพืชที่มีพืชอาหารหลายชนิด ได้แก่ พืชตระกูลกะหล่ำ หอม มะเขือเทศ มะเขือเปราะ มะระ พริก บวบ กระเจี๊ยบเขียว พืชตระกูลถั่วต่างๆ นอกจากนี้ยังพบทำลายในไม้ดอกบางชนิด ได้แก่ ดาวเรือง เบญจมาศ กุหลาบ และเยอบีร่า
เนื่องจากยุคสมัยนี้คนนิยมปลูกมะนาวกันเยอะ หนอนชอนใบถือเป็นศัตรูพืชอีกตัวหนึ่ง ที่พบมากในมะนาวครับ แต่สำหรับผมแล้วหนอนชอนใบยังถือว่าไม่รุนแรงเท่าตัวอื่นๆ วิธีการกำจัดก็ฉีดยาตามตารางหรือถ้าปลูกไม่มากก็เผาทำลายใบที่มีอาการทิ้งไปและเผาเศษใบไม้ที่อยู่ตามโคนต้นไม้เพื่อกำจัดดักแด้ทิ้งไปได้ครับ
ป้ายกำกับ:
ด้วงเต่าแตง
,
ด้วงเต่ามะเขือ
,
แมลงวันทอง
,
ศัตรูพืช
,
หนอนชอนใบ
,
หนอนม้วนใบ
วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ศัตรูพืชที่พบประจำ มีอะไรบ้าง? 1 (เพลี้ย)
วันนี้มาศึกษาเกี่ยวกับศัตรูพืชกันครับ โดยรวมแล้วมีมากมายหลายชนิดครับ คงจะเขียนกันไม่ไหวเลยทีเดียว จึงขอยกตัวสำคัญๆที่สวนผมพบเจอบ่อยๆ มาฝากผู้อ่านแล้วกันนะครับ
ศัตรูพืชวงศ์เพลี้ยครับ
1.เพลี้ยไฟ ชื่อวิทยาศาสตร์ Stenchaetohrips biformis (Bagnall)
วงศ์ Thripidae
อันดับ Thysanoptera
ชื่อสามัญอื่น -
ลักษณะการทำลายและการระบาด
เพลี้ยไฟทั้งตัวอ่อน และตัวเต็มวัยจะทำลายข้าวโดยการดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบข้าว ที่ยังอ่อน โดยอาศัยอยู่ตามซอกใบ ระบาดในระยะกล้า เมื่อใบ
เพลี้ยไฟทั้งตัวอ่อน และตัวเต็มวัยจะทำลายข้าวโดยการดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบข้าว ที่ยังอ่อน โดยอาศัยอยู่ตามซอกใบ ระบาดในระยะกล้า เมื่อใบ
ช่อดอก การทำลายในระยะติดดอก จะทำให้ช่อดอกหงิกงอ ดอกร่วง ไม่ติดผลหรือทำให้ติดผลน้อย
ผล ที่ขั้วผลอ่อนจะเห็นเป็นวงสีเทาเกือบดำ หรือผลบิดเบี้ยว ถ้าการทำลายรุนแรงผลมะม่วงจะเป็นสีดำเกือบทั้งหมด แมลงชนิดนี้ระบาดเมื่ออากาศร้อนและแห้งแล้ง ถ้ามีการระบาดรุนแรง เพลี้ยไฟจะทำลายมะม่วงระยะผลอ่อน ช่อดอก และผลอ่อน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน อยู่ในช่วงมะม่วงเริ่มแทงดอกในระยะเดือยไก่ และปริมาณประชากรจะลดลงในระยะดอกตูม และเพิ่มขึ้นเมื่อดอกใกล้บาน จนถึงดอกบานเต็มที่ จากนั้นจะเริ่มลดลง เมื่อเริ่มติดผลและจะพบน้อยมากเมื่อผลผลิตใกล้เก็บ
อย่างที่บอกครับเพลี้ยไฟเป็นศัตรูพืชตัวสำคัญที่ผมพบเจอในสวนเลยครับ ผมปลูกต้นขจร/ดอกสลิดซึ่งเป็นไม้เถายืนต้น มีอายุได้4-5เดือนก็ต้องยอมใช้เคมีมาฉีดให้ตาย แรกๆก็ฉีดนิดเดียวก็ตายหมด จนผ่านไปอีก3-4เดือนเริ่มดื้อยาฉีดแล้วไม่ตายจนตอนนี้ต้องสลับกับยาอื่น เพื่อมากำจัด ถือเป็นปัญหาใหญ่มากเลยทีเดียวครับ
ป้ายกำกับ:
เพลี้ยแป้ง
,
เพลี้ยไฟ
,
เพลี้ยอ่อน
,
ศัตรูพืช
วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
วิธีเลือกปั้มน้ำ หาแรงดันน้ำอย่างคร่าวๆ
ก่อนอื่นให้ดูที่ค่าHeadกับFlow คือดูแรงดันกับปริมาณน้ำที่ปั๊มจ่ายได้ครับอย่างแรกเราต้องคำนวนให้ได้ก่อนว่าต้องการปริมาณน้ำกี่ลิตร/นาที และค่าhead loss กี่เมตร แล้วจึงมาหาท่อน้ำว่าจะใช้ขนาดเท่าจึงจะสามารถรองรับปริมาณน้ำได้
วิธีคำนวณ : จำนวนหัวสปริงเกลอร์ *(คูณ) ปริมาณน้ำของหัวสปริงเกลอร์ = X l/h (ลิตรต่อชั่วโมง)
X=ท่อกี่นิ้ว
ต้องเปิดตารางดูว่าท่อขนาดใดที่น้ำสามารถไหลผ่านได้สูงสุดไม่น้อยกว่าXลิตร/ชม
วิธีคำนวณ : จำนวนหัวสปริงเกลอร์ *(คูณ) ปริมาณน้ำของหัวสปริงเกลอร์ = X l/h (ลิตรต่อชั่วโมง)
X=ท่อกี่นิ้ว
ต้องเปิดตารางดูว่าท่อขนาดใดที่น้ำสามารถไหลผ่านได้สูงสุดไม่น้อยกว่าXลิตร/ชม
จะซื้อปั้มให้ดูที่ค่าhead loss ถ้าท่อยาว 1000m จะเสียแรงดันไป หาร100 เท่ากับ10 
(ถ้าขึ้นเนินจะต้องเอาความต่างระดับมาบวกกันด้วยนะครับเช่นขึ้นเนิน5ก็บวกกับ10เป็น15 อย่าลืมแรงดันที่เสียไปตามข้อต่อต่างๆด้วยครับ อันนี้ต้องคิดเผื่อเอาคร่าวๆครับ 1000m ข้อต่อน่าจะเยอะก็20เลยครับ)
สมมุติ : สปริงเกลอร์250หัว คูณ 200ลิตร/ชั่วโมง =50000L/h. เปลี่ยนหน่วยเป็นนาที หาร 60 = 833 l/m
Head loss1000m =10
ดังนั้นเลือกปั้มจ่ายน้ำได้ 833ลิตรต่อนาที จ่ายน้ำที่ระดับ 0m(พื้นราบไม่ชัน)ได้833+10=843 l/m
สรุปต้องดูสเป็คของปั้มน้ำครับว่าค่าhead lossไม่เกินเท่าไหร่ จ่ายน้ำได้ตรงกับความต้องการตามที่คำนวณหรือไม่ครับ
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นวิธีคำนวณอย่างง่ายๆ ในภาษาที่ชาวบ้านเข้าใจ ไม่ได้ละเอียดแบบหลักฟิสิกส์ แต่ก็พอใช้คำนวณได้คร่าวๆครับ ผู้เขียนเขียนตามความเข้าใจส่วนตัวตามที่ศึกษาและประสบการณ์ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอบคุณครับ
ป้ายกำกับ:
วิธีคำนวณแรงดันน้ำ
,
วิธีเลือกปั้มน้ำ
,
หาแรงดันน้ำ
วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ใช้สารเคมีกำจัดแมลง หนอน,เพลี้ย อะไรดี
จริงๆแล้วต้องบอกอย่างนี้ครับ ถ้าปลูกเชิงการค้าแล้วจากประสบการณ์ของผม ต้องบอกได้เลยว่าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ถ้าปลูกไม่เยอะ ปลูกรอบๆบ้าน ผมก็ไม่เถียงครับว่าเราเลี่ยงได้ แต่ที่ผมทำนั้นต้องเจอกับศัตรูพืชหลากหลายชนิดครับ ถ้าจะว่าด้วยแมลงนั้นคงต้องเป็นอีกบทความนึงเลยครับ แต่จะยกตัวอย่างกว้างๆมาแนะนำกันครับ
กลุ่มยาที่ใช้กำจัดหนอนครับ
1. อะบาเม็กติน ชื่อสามัญ: อะบาเม็กติน (abamectin) 1.8% w/v EC ประเภทของยา : น้ำ อัตราการใช้: กำจัดแมลงศัตรูใช้อัตรา 20 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร (เหม็นปานกลาง)
2. ไซเปอร์เมทริน ชื่อสามัญ: ไซเปอร์เมทริน 35% Cypermethrin 35% w/v EC อัตรา 5-10 ซีซี. ผสมน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อป้องกันแมลงเมื่อพบแมลงระบาดควรใช้ อัตรา 15-25 ซีซี. ผสมน้ำ 20 ลิตร
3. คาร์โบซัลแฟนชื่อสามัญ: คาร์โบซัลแฟน 20 % w/v EC ประเภทของยา : น้ำ อัตราการใช้: อัตรา 20 – 40 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร (เหม็นมาก)
แนะนำให้ฉีด วันที่1,4,7 3วันนะครับ แต่ละวันไม่ควรใช้ยาซ้ำกันควรสลับยากัน3ชนิด เพื่อป้องกันแมลงดื้อยา ที่แนะนำคือแมลงระบาดแล้ว เหตุผลที่ต้องฉีดแบบนี้เพราะวันที่1ฉีดเพื่อกำจัดแมลงชุดแรก วันที่4เพื่อกำจัดไข่แมลง วันที่7เพื่อเก็บตกที่ยังรอดให้หมด (ควรสังเกตุอย่างสม่ำเสมอว่าไม่มีศัตรูพืชตกค้างแล้ว)
กลุ่มยากำจัดเพลี้ยครับ เป็นกลุ่มยานิโคตินอยล์ครับ
1.อิมิดาคลอพริด ชื่อสามัญ: อิมิดาคลอพริด(Imidacloprid) 70%wg ประเภทของยา : ผง อัตราการใช้: อัตรา 2 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อป้องกันกำจัดเพลี้ย เมื่อพบเพลี้ยระบาดควรใช้ อัตรา 5-20 ซีซี. ผสมน้ำ 20 ลิตร ไม่มีสีไม่มีกลิ่น ฉลากสีฟ้า
2.ไดโนทีฟูแรน ชื่อสามัญ: ไดโนทีฟูแรน(Dinotefuran) อัตราการใช้: 10กรัม ต่อน้ำ20ลิตร พ่นเมื่อเพลี้ยระบาด เป็นผงละลายน้ำ
3.อะเซตามีพริด ชื่อสามัญ: อะเซตามีพริด(Acetamiprid) อัตราการใช้: 5กรัม ต่อน้ำ20ลิตร ตารางความเป็นพิษที่มีต่อสัตว์
เครดิตเว็บ http://www.doa.go.th/pibai/pibai/n16/v_3-apr/ceaksong.html
อย่างไรก็ตาม การใช้สารเคมีควรอ่านฉลากยาข้างขวดให้ดีก่อน และที่สำคัญสีของฉลากยาที่อยู่ใต้ขวด จะบอกความอันตรายของสารเคมีตัวนั้น โดยแบ่งเป็น3สี แดง เหลือง ฟ้า ความแรงแบ่งไปตามลำดับ มากไป
จริงๆแล้วยาทั้งหมดที่กล่าวมาสามารถกำจัดได้ทั้งหนอนและเพลี้ย แต่จากประสบการณ์ของผู้เขียนแนะนำมาเพื่อไม่ให้แมลงดื้อยาต่อสารนั้นๆมากที่สุด จะได้ไม่สิ้นเปลืองไปใช้ยาที่ผิดครับ
กลุ่มยาที่ใช้กำจัดหนอนครับ
1. อะบาเม็กติน ชื่อสามัญ: อะบาเม็กติน (abamectin) 1.8% w/v EC ประเภทของยา : น้ำ อัตราการใช้: กำจัดแมลงศัตรูใช้อัตรา 20 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร (เหม็นปานกลาง)
2. ไซเปอร์เมทริน ชื่อสามัญ: ไซเปอร์เมทริน 35% Cypermethrin 35% w/v EC อัตรา 5-10 ซีซี. ผสมน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อป้องกันแมลงเมื่อพบแมลงระบาดควรใช้ อัตรา 15-25 ซีซี. ผสมน้ำ 20 ลิตร
3. คาร์โบซัลแฟนชื่อสามัญ: คาร์โบซัลแฟน 20 % w/v EC ประเภทของยา : น้ำ อัตราการใช้: อัตรา 20 – 40 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร (เหม็นมาก)
แนะนำให้ฉีด วันที่1,4,7 3วันนะครับ แต่ละวันไม่ควรใช้ยาซ้ำกันควรสลับยากัน3ชนิด เพื่อป้องกันแมลงดื้อยา ที่แนะนำคือแมลงระบาดแล้ว เหตุผลที่ต้องฉีดแบบนี้เพราะวันที่1ฉีดเพื่อกำจัดแมลงชุดแรก วันที่4เพื่อกำจัดไข่แมลง วันที่7เพื่อเก็บตกที่ยังรอดให้หมด (ควรสังเกตุอย่างสม่ำเสมอว่าไม่มีศัตรูพืชตกค้างแล้ว)
กลุ่มยากำจัดเพลี้ยครับ เป็นกลุ่มยานิโคตินอยล์ครับ
1.อิมิดาคลอพริด ชื่อสามัญ: อิมิดาคลอพริด(Imidacloprid) 70%wg ประเภทของยา : ผง อัตราการใช้: อัตรา 2 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อป้องกันกำจัดเพลี้ย เมื่อพบเพลี้ยระบาดควรใช้ อัตรา 5-20 ซีซี. ผสมน้ำ 20 ลิตร ไม่มีสีไม่มีกลิ่น ฉลากสีฟ้า
2.ไดโนทีฟูแรน ชื่อสามัญ: ไดโนทีฟูแรน(Dinotefuran) อัตราการใช้: 10กรัม ต่อน้ำ20ลิตร พ่นเมื่อเพลี้ยระบาด เป็นผงละลายน้ำ
3.อะเซตามีพริด ชื่อสามัญ: อะเซตามีพริด(Acetamiprid) อัตราการใช้: 5กรัม ต่อน้ำ20ลิตร ตารางความเป็นพิษที่มีต่อสัตว์
สารกำจัดศัตรูพืชกลุ่มนีโอนิโคตินอยด์ต่อสัตว์ป่า
(Neonicotinoid pesticides wildlife toxicity ranges)
ชื่อสามัญ
(Common name) |
ความเป็นพิษต่อนก
(Bird acute oral LD50 (mg/kg)*) |
ความเป็นพิษต่อปลา
(Fish LCP50 (ppm)**) |
ความเป็นพิษต่อผึ้ง
(Bee LD50***) |
อะเซ็บทามิพริด (Acetamiprid)
|
ไม่มีพิษ (PNT)
|
ไม่มีพิษ (PNT)
|
มีพิษปานกลาง (MT)
|
โคลไทอะนิดิน (clothianidin)
|
ไม่มีพิษ (PNT)
|
ไม่มีพิษ (PNT)
|
มีพิษสูง (HT)
|
ไดโนทีฟูราน (dinotefuran)
|
ไม่มีพิษ (PNT)-มีพิษปานกลาง (MT)
|
ไม่มีพิษ (PNT)
|
มีพิษสูง (HT)
|
อิมิดาคลอพริด (imidacloprid)
|
มีพิษปานกลาง(MT)
|
มีพิษปานกลาง(MT)
|
มีพิษสูง (HT)
|
ไธอะมีโทแซม (thiamethoxam)
|
มีพิษเล็กน้อย(ST)
|
ไม่มีพิษ (PNT)
|
มีพิษสูง (HT)
|
เครดิตเว็บ http://www.doa.go.th/pibai/pibai/n16/v_3-apr/ceaksong.html
อย่างไรก็ตาม การใช้สารเคมีควรอ่านฉลากยาข้างขวดให้ดีก่อน และที่สำคัญสีของฉลากยาที่อยู่ใต้ขวด จะบอกความอันตรายของสารเคมีตัวนั้น โดยแบ่งเป็น3สี แดง เหลือง ฟ้า ความแรงแบ่งไปตามลำดับ มากไป
จริงๆแล้วยาทั้งหมดที่กล่าวมาสามารถกำจัดได้ทั้งหนอนและเพลี้ย แต่จากประสบการณ์ของผู้เขียนแนะนำมาเพื่อไม่ให้แมลงดื้อยาต่อสารนั้นๆมากที่สุด จะได้ไม่สิ้นเปลืองไปใช้ยาที่ผิดครับ
ป้ายกำกับ:
กำจัดเพลี้ย
,
กำจัดแมลง
,
กำจัดหนอน
,
สารเคมีกำจัดศัตรูพืช
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558
ไส้เดือนดินฟื้นฟูดินในสวน
ว่าด้วยเรื่องการเลี้ยงไส้เดือนกันครับ หากใครยังไม่ทราบว่าไส้เดือนดินที่เลี้ยงนี้คือไส้เดือนดินตามบ้านต้องขุดกันมาเลี้ยงคิดผิดแล้วครับ ไส้เดือนที่จะพูดถึงนี้คือไส้เดือนที่ต้องเป็นสายพันธ์ุที่กินเก่งครับ เช่นแอฟริกันไนท์คลอเลอร์(African night crawler)หรือAf สายพันธุ์นี้กินเก่งตัวใหญ่ให้มูลไส้เดือนได้มากเหมาะกับอากาศบ้านเราร้อนแต่ต้องชื้นๆหน่อย,ไทเกอร์ไส้เดือนเมืองหนาวตัวเล็กกว่าaf,บลูลักษณะคล้ายไทเกอร์ กินขยะได้เก่งและพันธุ์ ขี้ตาแร่ เป็นไส้เดือนบ้านเรา สามารถนำมาทำปุ๋ยหมักได้ แต่ถ้าเกิดควบคุมสภาวะไม่ดี จะทำให้หนีได้
1.นำ เบดดิ้งที่เตรียมไว้ทำให้เป็นกองมีขนาดความสูงไม่เกิน 2 นิ้ว เหตุผลที่ทำให้ต้องทำกองเตี้ยๆ เพราะถ้ากองสูงเกินไป อากาศจะไม่สามารถเข้าไปในกองได้ ซึ่งจะทำให้เป็น มูลไส้เดือนช้า กองยิ่งสูงไส้เดือนก็จะกินแค่ผิวไม่เกิน 2 - 3 นิ้ว ส่วนข้างล่างไส้เดือนไม่ได้ลงไปกินเพราะ ไม่มีอากาศและแน่นมาก ดังนั้นต้องจัดการกองเบดดิ้งให้ดีด้วย
2.การปล่อยไส้เดือนลงเบดดิ้งใหม่ การนำไส้เดือนลงไปปล่อย ต้องตรวจสอบเบดดิ้งก่อนว่าใช้ได้มั้ยโดยการหยิบเบดดิ้งขึ้นมาลองบีบดู ถ้าไม่มีน้ำหยดลงมาถือว่าใช้ไม่ได้ต้องเติมน้ำลงไปให้ชุ่มกว่านี้ แต่ถ้าบีบแล้วน้ำไหลโชคแสดงว่าน้ำเยอะไปต้องปล่อยให้แห้งลงอีก ให้บีบแล้วน้ำหยดเป็นหยดๆพอถึงใช้ได้ จากนั้นสามารถปล่อยได้เลย โดยวิธีการปล่อยไส้เดือนก็มีเทคนิคนิดหน่อยโดย ไส้เดือน 1 กิโล ให้มีเบดดิ้งเก่าสัก 500 กรัม ทำไมต้องมีเบดดิ้งเก่าด้วย เพราะป้องกันเผื่อไส้เดือนไม่ชอบเบดดิ้งใหม่อย่างน้อยมันก็จะอาศัยในเบดดิ้ง เก่าไปก่อน พอมันปรับสภาพได้ ก็จะลงไปเบดดิ้งใหม่เองครับ
3.ถ้า ไส้เดือนลงไปเบดดิ้งใหม่แล้วก็เรียบร้อยแล้วครับ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ปล่อยให้ไส้เดือนมันทำงานของมันไป เราก็แค่ดูรดน้ำให้ความชื้นเท่านั้น โดยผมเองใช้วิธีพ่นหมอกเอา จะทำให้ประหยัดแรง เวลา ทำให้ไส้เดือนได้รับความชุ่มชื้นพอดีอีกด้วย และยังทำให้ไส้เดือนคิดว่าฝนกำลังตกอยู่จะทำให้ไส้เดือนขยายพันธุ์เร็วมากครับ
ต่อไปถ้าเลือกสายพันธ์ุที่จะเลี้ยงได้แล้วจะมาว่าด้วย เบดดิ้ง(Bedding)กันครับ
การทำ เบดดิ้งให้ไส้เดือนได้อยู่อาศัยเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะถ้าทำเบดดิ้งไม่ดี ไส้เดือนก็จะไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ดังนั้นต้องให้ความสำคัญในการทำเบดดิ้งมากหน่อย
วัสดุที่สามารถมาทำเบดดิ้งได้ คือ ของ อินทรีย์วัตถุทุกอย่างที่อยู่รอบๆๆตัวเรา ไส้เดือนสามารถย่อยได้หมด ส่วนตัวผมเลือกที่จะใช้มูลวัวครับ ถ้าเป็นมูลวัวนมจะดีมากครับเพราะอาหารที่เค้าให้วัวนมกินนั้นจะไม่ทำให้มูลร้อนและมีกลิ่นไม่มาก แต่ก็ยังต้องแช่น้ำไว้นะครับ แช่แล้วปล่อยทิ้งซัก2-3รอบ น้ำที่แช่มูลวัวก็อย่าทิ้งเสียเปล่านะครับ นำมารดต้นไม้ได้เหมือนให้ปุ๋ยขี้วัวทางน้ำครับ ผมก็ใช้วิธีนี้แช่ในถัง100ลิตร1คืนแล้วปล่อยไปกับน้ำหยด
วัสดุที่สามารถมาทำเบดดิ้งได้ คือ ของ อินทรีย์วัตถุทุกอย่างที่อยู่รอบๆๆตัวเรา ไส้เดือนสามารถย่อยได้หมด ส่วนตัวผมเลือกที่จะใช้มูลวัวครับ ถ้าเป็นมูลวัวนมจะดีมากครับเพราะอาหารที่เค้าให้วัวนมกินนั้นจะไม่ทำให้มูลร้อนและมีกลิ่นไม่มาก แต่ก็ยังต้องแช่น้ำไว้นะครับ แช่แล้วปล่อยทิ้งซัก2-3รอบ น้ำที่แช่มูลวัวก็อย่าทิ้งเสียเปล่านะครับ นำมารดต้นไม้ได้เหมือนให้ปุ๋ยขี้วัวทางน้ำครับ ผมก็ใช้วิธีนี้แช่ในถัง100ลิตร1คืนแล้วปล่อยไปกับน้ำหยด
เมื่อได้เบดดิ้งมาแล้วขนาดปริมาณไส้เดือนต่อเบดดิ้งที่ใช้กัน คือ ไส้เดือน 1 กิโลกรัม ต่อ เบดดิ้ง 10กิโลกรัม
1.นำ เบดดิ้งที่เตรียมไว้ทำให้เป็นกองมีขนาดความสูงไม่เกิน 2 นิ้ว เหตุผลที่ทำให้ต้องทำกองเตี้ยๆ เพราะถ้ากองสูงเกินไป อากาศจะไม่สามารถเข้าไปในกองได้ ซึ่งจะทำให้เป็น มูลไส้เดือนช้า กองยิ่งสูงไส้เดือนก็จะกินแค่ผิวไม่เกิน 2 - 3 นิ้ว ส่วนข้างล่างไส้เดือนไม่ได้ลงไปกินเพราะ ไม่มีอากาศและแน่นมาก ดังนั้นต้องจัดการกองเบดดิ้งให้ดีด้วย
2.การปล่อยไส้เดือนลงเบดดิ้งใหม่ การนำไส้เดือนลงไปปล่อย ต้องตรวจสอบเบดดิ้งก่อนว่าใช้ได้มั้ยโดยการหยิบเบดดิ้งขึ้นมาลองบีบดู ถ้าไม่มีน้ำหยดลงมาถือว่าใช้ไม่ได้ต้องเติมน้ำลงไปให้ชุ่มกว่านี้ แต่ถ้าบีบแล้วน้ำไหลโชคแสดงว่าน้ำเยอะไปต้องปล่อยให้แห้งลงอีก ให้บีบแล้วน้ำหยดเป็นหยดๆพอถึงใช้ได้ จากนั้นสามารถปล่อยได้เลย โดยวิธีการปล่อยไส้เดือนก็มีเทคนิคนิดหน่อยโดย ไส้เดือน 1 กิโล ให้มีเบดดิ้งเก่าสัก 500 กรัม ทำไมต้องมีเบดดิ้งเก่าด้วย เพราะป้องกันเผื่อไส้เดือนไม่ชอบเบดดิ้งใหม่อย่างน้อยมันก็จะอาศัยในเบดดิ้ง เก่าไปก่อน พอมันปรับสภาพได้ ก็จะลงไปเบดดิ้งใหม่เองครับ
3.ถ้า ไส้เดือนลงไปเบดดิ้งใหม่แล้วก็เรียบร้อยแล้วครับ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ปล่อยให้ไส้เดือนมันทำงานของมันไป เราก็แค่ดูรดน้ำให้ความชื้นเท่านั้น โดยผมเองใช้วิธีพ่นหมอกเอา จะทำให้ประหยัดแรง เวลา ทำให้ไส้เดือนได้รับความชุ่มชื้นพอดีอีกด้วย และยังทำให้ไส้เดือนคิดว่าฝนกำลังตกอยู่จะทำให้ไส้เดือนขยายพันธุ์เร็วมากครับ
วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ปลูกถั่วฝักยาวแซมแตงร้านดีไหม ใช้พื้นที่ให้เป็นประโยชน์
ถั่วที่พูดถึงนี้คือถั่วฝักยาวครับ ขออธิบายถึงรายละเอียดซักนิดครับ แล้วจะแชร์ประสบการณ์ให้ทราบกันครับ
ถั่วฝักยาว สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินแทบจะทุกชนิด แต่ที่เหมาะสมที่สุดในการปลูกคือดินร่วนปนทราย ที่มีค่า pH อยู่ที่ระหว่าง 5.5-6 หน่วย ถั่วฝักยาวเป็นพืชที่มีระบบรากละเอียดอ่อนการเตรียมดินก่อนปลูกอย่างเหมาะสม จะช่วยให้การเติบโตของลำต้นสมบูรณ์และสม่ำเสมอ การเตรียมดินก่อนการปลูกถั่วฝักยาวนั้น ควรไถพรวนหน้าดินโดยมีความลึกประมาณ 6-8 นิ้ว แล้วตากดินทิ้งไว้ประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อทำลายเชื่อโรคและไข่ของแมลงต่างๆ ที่เป็นศัตรูพืช และควรเก็บเศษวัชพืชออกจากแปลงให้หมด หลังจากนั้นทำการปรับปรุงโครงสร้างดินให้ดีขึ้น ให้ไถคราดหน้าดินและใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไปพร้อมกันในระหว่างไถคราดได้เลย เสร็จแล้วยกร่อง สำหรับปลูกโดยมีความกว้างประมาณ 1-1.2 เมตร ความยาวให้เหมาะสมกับแปลงปลูก เตรียมร่องระหว่างแปลงสำหรับเดินเข้าออกประมาณ ไม่เกิน 1 เมตร สำหรับแปลงดินที่ยังไม่เคยปลูกมาก่อนควรนำดินมาวัดค่า pH และวิเคราะห์เพื่อให้ทราบถึงจำนวนแร่ธาตุต่างๆ ในดินเพื่อจะได้ปรับปรุงบำรุงดินให้เหมาะสมในการปลูกต่อไป เมื่อเตรียมดินได้ที่แล้วจึงเป็นขั้นตอนของการปลูกโดยละเอียดดังนี้
1. เตรียมเมล็ดพันธุ์ เนื้อที่ 1 ไร่ควรใช้เมล็ดพันธุ์ 3-4 กิโลกรัม คัดเมล็ดพันธุ์ที่ดี ไม่แตกหรือมีจำหนิ หรือมีสภาพไม่เหมาะกับการปลูกออกแยกไว้แล้วนำไปคลุกด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดแมลงก่อนเพื่อป้องกันการโดนทำลาย
2. เตรียมหลุมปลูก ให้ได้ระยะห่างระหว่างแถว 0.8-1เมตร ระหว่างหลุมต่อหลุม 0.5 เมตร (หรือแล้วแต่พิจารณา) โดยให้หลุมลึกประมาณ 5-6 นิ้ว ใช้ใบคูน หรือใบหางนกยูงแห้ง โรยก้นหลุม 1 กำมือ แล้วใช้ปุ๋ยเคมีสูตรที่เหมาะสมกับถั่วฝักยาว เช่น 15-15-15, 13-13-21,12-24-12, 5-10-5 หรือ 6-12-12 ใส่หลุมละ 1/2 ช้อนแกง (10-15 กรัม) คลุกเคล้าให้เข้ากันปิดทับด้วยดินบางๆ
3. หยอดเมล็ดลงหลุม หลุมละ 3-4 เม็ดแล้วกลบดินลงหลุมประมาณ 5 เซนติเมตรแล้วรดน้ำทันที การให้น้ำระยะ 1-7 วัน ควรให้น้ำทุกวัน วันละ 1 ครั้ง ทั้งนี้ให้พิจารณาสภาพภูมิอากาศ และสภาพดินด้วย 4. ดูแลต้นกล้า ประมาณ 1 อาทิตย์ เมล็ดจะเริ่มงอกให้เห็นยอดอ่อน เมื่อมีใบจริงประมาณ 3-4 ใบให้ถอนแยกคัดเอาเฉพาะต้นที่แข็งแรงเอาไว้ 2 ต้นต่อ 1 หลุม และทำการกำจัดวัชพืชบริเวณรอบๆ หลุมให้หมด นำใบคูน หรือใบหางนกยูงแห้ง หรือแกลบโรบกลบรอบโคนหลุมหนาประมาณ 1 นิ้ว แล้วรดน้ำให้ฉ่ำ เนื่องจากถั่วฝักยาว เป็นพืชที่ต้องการการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด การดูแลรักษาที่ดีจะมีผลต่อปริมาณและคุณภาพของผลผลิตเป็นอย่างมาก จึงแนะนำขั้นตอนการดูแลรักษาดังนี้
การดูแลรักษาแปลงถั่วฝักยาว
1. การให้น้ำ โดยทั่วไป พืชตระกูลถั่วต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรแฉะเกินไป ระยะเจริญเติบโตหลังจากทำการถอนแยกแล้วควรให้น้ำทุกๆ 4-6 วันต่อครั้ง หากไม่ได้ทำการโรยแกลบ หรือใบคูน ใบหางนกยูงไว้รอบๆ เพื่อรักษาความชื้น ควรให้น้ำทุก 3-5 วันต่อครั้ง ให้ตรวจสอบความชื้นในดินให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโต ระบบการให้น้ำอาจใช้วิธีการใส่น้ำเข้าตามร่อง หรืออาจจะใช้วิธีการตักรดโดยตรง ขึ้นอยู่กับแหล่งน้ำที่มี สภาพพื้นที่ปลูกและความชำนาญของ การปลูกถั่วฝักยาวของผู้ปลูกเป็นหลัก
2. การปักค้าง ถั่วฝักยาวเป็นพืชที่ต้องอาศัยค้าง หรือนั่งร้าน เพื่อเกาะพยุงลำต้นให้เจริญเติบโต ไม้ที่ใช้สำหรับทำไม้ค้างนั้นใช้ไม้ไผ่ หรือไม้อื่น ๆ ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น โดยความยาวของไม้มีความยาวประมาณ 2.5-3 เมตร หรือตามความเหมาะสม หรืออาจจะสร้างโครงเสาแล้วใช้ลวดขึงด้านบน และใช้เชือกห้อยลงมายังลำต้นถั่วฝักยาวให้เลื้อยขึ้น ระยะเวลาการใส่ค้างถั่วฝักยาวนั้นจะเริ่มใส่หลังจากงอกแล้ว 15-20 วัน โดยจับต้นถั่วฝักยาวให้พันเลื้อยขึ้นค้างในลักษณะ ทวนเข็มนาฬิกา ทำไมต้องทวนเข็ม เนื่องจากเป็นวิธีที่ทำให้ลำต้นแข็งแรงและโตไวที่สุด ในแหล่งที่หาค้างยาก ผู้ปลูกควรใช้เชือกแทนค้าง การปลูกถั่วฝักยาวควรมีการทดสอบ การใช้เชือกแทนค้างเพื่อหาข้อมูลสำหรับการลดต้นทุนการผลิต
Cr.by http://www.kasetorganic.com/การปลูกถั่วฝักยาว.html
เนื่องจากช่วงทำถั่วนี้งานเยอะมากครับขยายอะไรหลายๆอย่าง จึงไม่มีเวลาถ่ายรูปเก็บไว้เลยครับ ขอเขียนอย่างเดียวละกันนะครับ อย่างที่บอกครับปลูกถั่วระหว่างแตงร้าน เพื่อที่จะได้ใช้ค้างด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดครับ ถั่วน่าจะแย่งปุ๋ยแตงร้านมาหมดเลย คือแตงแคระไม่ค่อยโตเท่าที่ควร แต่กับถั่วฝักยาวที่ปลูกหลังแตงร้าน 7วันงามมากครับ วิธีดูแลถั่วของผมคือฉีดบิวเวอเรียทุกอาทิต อาทิตละครั้ง ถั่วจะเริ่มติดดอก45วันโดยประมาณ ช่วงเวลาที่ติดดอกต้องดูแลให้ดีหน่อยเพราะชอบมี🐛หนอนมาเจาะช่อดอกทำให้ดอกร่วง
ถั่วฝักยาว สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินแทบจะทุกชนิด แต่ที่เหมาะสมที่สุดในการปลูกคือดินร่วนปนทราย ที่มีค่า pH อยู่ที่ระหว่าง 5.5-6 หน่วย ถั่วฝักยาวเป็นพืชที่มีระบบรากละเอียดอ่อนการเตรียมดินก่อนปลูกอย่างเหมาะสม จะช่วยให้การเติบโตของลำต้นสมบูรณ์และสม่ำเสมอ การเตรียมดินก่อนการปลูกถั่วฝักยาวนั้น ควรไถพรวนหน้าดินโดยมีความลึกประมาณ 6-8 นิ้ว แล้วตากดินทิ้งไว้ประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อทำลายเชื่อโรคและไข่ของแมลงต่างๆ ที่เป็นศัตรูพืช และควรเก็บเศษวัชพืชออกจากแปลงให้หมด หลังจากนั้นทำการปรับปรุงโครงสร้างดินให้ดีขึ้น ให้ไถคราดหน้าดินและใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไปพร้อมกันในระหว่างไถคราดได้เลย เสร็จแล้วยกร่อง สำหรับปลูกโดยมีความกว้างประมาณ 1-1.2 เมตร ความยาวให้เหมาะสมกับแปลงปลูก เตรียมร่องระหว่างแปลงสำหรับเดินเข้าออกประมาณ ไม่เกิน 1 เมตร สำหรับแปลงดินที่ยังไม่เคยปลูกมาก่อนควรนำดินมาวัดค่า pH และวิเคราะห์เพื่อให้ทราบถึงจำนวนแร่ธาตุต่างๆ ในดินเพื่อจะได้ปรับปรุงบำรุงดินให้เหมาะสมในการปลูกต่อไป เมื่อเตรียมดินได้ที่แล้วจึงเป็นขั้นตอนของการปลูกโดยละเอียดดังนี้
1. เตรียมเมล็ดพันธุ์ เนื้อที่ 1 ไร่ควรใช้เมล็ดพันธุ์ 3-4 กิโลกรัม คัดเมล็ดพันธุ์ที่ดี ไม่แตกหรือมีจำหนิ หรือมีสภาพไม่เหมาะกับการปลูกออกแยกไว้แล้วนำไปคลุกด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดแมลงก่อนเพื่อป้องกันการโดนทำลาย
2. เตรียมหลุมปลูก ให้ได้ระยะห่างระหว่างแถว 0.8-1เมตร ระหว่างหลุมต่อหลุม 0.5 เมตร (หรือแล้วแต่พิจารณา) โดยให้หลุมลึกประมาณ 5-6 นิ้ว ใช้ใบคูน หรือใบหางนกยูงแห้ง โรยก้นหลุม 1 กำมือ แล้วใช้ปุ๋ยเคมีสูตรที่เหมาะสมกับถั่วฝักยาว เช่น 15-15-15, 13-13-21,12-24-12, 5-10-5 หรือ 6-12-12 ใส่หลุมละ 1/2 ช้อนแกง (10-15 กรัม) คลุกเคล้าให้เข้ากันปิดทับด้วยดินบางๆ
3. หยอดเมล็ดลงหลุม หลุมละ 3-4 เม็ดแล้วกลบดินลงหลุมประมาณ 5 เซนติเมตรแล้วรดน้ำทันที การให้น้ำระยะ 1-7 วัน ควรให้น้ำทุกวัน วันละ 1 ครั้ง ทั้งนี้ให้พิจารณาสภาพภูมิอากาศ และสภาพดินด้วย 4. ดูแลต้นกล้า ประมาณ 1 อาทิตย์ เมล็ดจะเริ่มงอกให้เห็นยอดอ่อน เมื่อมีใบจริงประมาณ 3-4 ใบให้ถอนแยกคัดเอาเฉพาะต้นที่แข็งแรงเอาไว้ 2 ต้นต่อ 1 หลุม และทำการกำจัดวัชพืชบริเวณรอบๆ หลุมให้หมด นำใบคูน หรือใบหางนกยูงแห้ง หรือแกลบโรบกลบรอบโคนหลุมหนาประมาณ 1 นิ้ว แล้วรดน้ำให้ฉ่ำ เนื่องจากถั่วฝักยาว เป็นพืชที่ต้องการการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด การดูแลรักษาที่ดีจะมีผลต่อปริมาณและคุณภาพของผลผลิตเป็นอย่างมาก จึงแนะนำขั้นตอนการดูแลรักษาดังนี้
การดูแลรักษาแปลงถั่วฝักยาว
1. การให้น้ำ โดยทั่วไป พืชตระกูลถั่วต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรแฉะเกินไป ระยะเจริญเติบโตหลังจากทำการถอนแยกแล้วควรให้น้ำทุกๆ 4-6 วันต่อครั้ง หากไม่ได้ทำการโรยแกลบ หรือใบคูน ใบหางนกยูงไว้รอบๆ เพื่อรักษาความชื้น ควรให้น้ำทุก 3-5 วันต่อครั้ง ให้ตรวจสอบความชื้นในดินให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโต ระบบการให้น้ำอาจใช้วิธีการใส่น้ำเข้าตามร่อง หรืออาจจะใช้วิธีการตักรดโดยตรง ขึ้นอยู่กับแหล่งน้ำที่มี สภาพพื้นที่ปลูกและความชำนาญของ การปลูกถั่วฝักยาวของผู้ปลูกเป็นหลัก
2. การปักค้าง ถั่วฝักยาวเป็นพืชที่ต้องอาศัยค้าง หรือนั่งร้าน เพื่อเกาะพยุงลำต้นให้เจริญเติบโต ไม้ที่ใช้สำหรับทำไม้ค้างนั้นใช้ไม้ไผ่ หรือไม้อื่น ๆ ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น โดยความยาวของไม้มีความยาวประมาณ 2.5-3 เมตร หรือตามความเหมาะสม หรืออาจจะสร้างโครงเสาแล้วใช้ลวดขึงด้านบน และใช้เชือกห้อยลงมายังลำต้นถั่วฝักยาวให้เลื้อยขึ้น ระยะเวลาการใส่ค้างถั่วฝักยาวนั้นจะเริ่มใส่หลังจากงอกแล้ว 15-20 วัน โดยจับต้นถั่วฝักยาวให้พันเลื้อยขึ้นค้างในลักษณะ ทวนเข็มนาฬิกา ทำไมต้องทวนเข็ม เนื่องจากเป็นวิธีที่ทำให้ลำต้นแข็งแรงและโตไวที่สุด ในแหล่งที่หาค้างยาก ผู้ปลูกควรใช้เชือกแทนค้าง การปลูกถั่วฝักยาวควรมีการทดสอบ การใช้เชือกแทนค้างเพื่อหาข้อมูลสำหรับการลดต้นทุนการผลิต
Cr.by http://www.kasetorganic.com/การปลูกถั่วฝักยาว.html
เนื่องจากช่วงทำถั่วนี้งานเยอะมากครับขยายอะไรหลายๆอย่าง จึงไม่มีเวลาถ่ายรูปเก็บไว้เลยครับ ขอเขียนอย่างเดียวละกันนะครับ อย่างที่บอกครับปลูกถั่วระหว่างแตงร้าน เพื่อที่จะได้ใช้ค้างด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดครับ ถั่วน่าจะแย่งปุ๋ยแตงร้านมาหมดเลย คือแตงแคระไม่ค่อยโตเท่าที่ควร แต่กับถั่วฝักยาวที่ปลูกหลังแตงร้าน 7วันงามมากครับ วิธีดูแลถั่วของผมคือฉีดบิวเวอเรียทุกอาทิต อาทิตละครั้ง ถั่วจะเริ่มติดดอก45วันโดยประมาณ ช่วงเวลาที่ติดดอกต้องดูแลให้ดีหน่อยเพราะชอบมี🐛หนอนมาเจาะช่อดอกทำให้ดอกร่วง
รูปถั่วฝักยาวที่โดนหนอนทำลายครับเจาะฝักเจาะดอก
ช่วงติดดอกผมดูแลด้วยการใส่ปุ๋ย13-13-21ไปกับน้ำหยดวันละ2โลผสมกับถังน้ำร้อยลิตร ฉีดน้ำหมักบิวเวอเรีย สำหรับผมเพียงพอแล้วสำหรับถั่ว500ต้นโดยประมาณ เพราะปลูกแบบต้นทุนน้อยที่สุดครับ ผลออกมาก็พอมีรายได้ครับแต่เทียบกับความต้องการของผมแล้วไม่เพียงพอคงต้องหาพืชหลักอื่นๆต่อไปถ้าท่านใดติดตามก็คงได้ทราบพืชตัวใหม่ๆอีกแน่นอน
ช่วงแรกก็เก็บได้ดีครับประมาณ 20-30โล วันเว้นวันครับ ช่วงนั้นราคาดีครับ30-40บาทต่อโล บางวันสูงถึง50เลยครับ แต่ถั่วของผมจะได้ราคาน้อยกว่าสวนข้างๆที่ใช้เคมี5บาทครับ...ถามว่าทำไมครับทั้งๆที่ของผมกินแล้วปลอดภัย เพราะคนชอบของสวยงามไงครับสวยแต่ข้างนอกแต่แฝงไปด้วยอันตราย ก็แล้วแต่ครับไม่รู้จะว่ายังไงเลือกในสิ่งที่คิดว่าดีก็แล้วกันครับ ขนาดสวนข้างๆถั่วของเค้าเองเค้ายังไม่กล้ากินเค้าต้องมาเอาถั่วที่พองๆของผมไปกินเอง ก็ท่านใดที่จะซื้อถั่วต้องคิดดีๆนะครับทางที่ดีแช่น้ำเกลือก่อนนำมาทำอาหารก็ดีนะครับ ถั่วมี3ราคาครับ ถั่วดี ถั่วรอง ถั่วพอง
ช่วงติดดอกผมดูแลด้วยการใส่ปุ๋ย13-13-21ไปกับน้ำหยดวันละ2โลผสมกับถังน้ำร้อยลิตร ฉีดน้ำหมักบิวเวอเรีย สำหรับผมเพียงพอแล้วสำหรับถั่ว500ต้นโดยประมาณ เพราะปลูกแบบต้นทุนน้อยที่สุดครับ ผลออกมาก็พอมีรายได้ครับแต่เทียบกับความต้องการของผมแล้วไม่เพียงพอคงต้องหาพืชหลักอื่นๆต่อไปถ้าท่านใดติดตามก็คงได้ทราบพืชตัวใหม่ๆอีกแน่นอน
วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558
ปลูกแตงร้านดีกว่า เก็บได้เร็วดี
หลังจากทดลองปลูกบวบแล้ว ต่อไปจะทดลองปลูกแตงร้าน 2ร่องสวน ซึ่งหมายความว่าต้องเหนื่อยเป็น2เท่าของการปลูกบวบครับ เริ่มด้วยมาทราบข้อมูลแตงร้านทางวิชาการกันก่อนครับ
การปลูกแตงร้าน
แตงร้านซึ่งเป็นผักฉ่ำน้ำ กินแล้วจึงทำให้รู้สึกสดชื่น นอกจากนี้ แตงร้าน เป็นผักฤทธิ์เย็นที่มีสรรพคุณช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกาย และกระตุ้นการทำงานของระบบทางเดินอาหาร
ชื่อวงศ์ Cucurbitaceae
ชื่อสามัญ Cucumber
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cucumis sativus L.
ชื่อท้องถิ่น แตงขี้ไก่ แตงขี้ควาย แตงช้าง แตงร้าน (ภาคเหนือ) แตงปี แตงยาง (แม่ฮ่องสอน) แตงเห็น แตงอ้ม (เชียงใหม่) ตาเสาะ (เขมร) อึ่งกวย (จีน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
แตงร้านเป็นไม้เถามีอายุปีเดียว ต้น มีขนหยาบสีขาว ใบ ออกสลับกันทรงสามเหลี่ยม มนใหญ่ กว้าง 12-18 เซนติเมตร มีแฉกใหญ่ 3-5 แฉก ตัวใบมีขนทั้งสองด้าน ดอก แยกเป็นดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่บนต้นเดียวกันกลีบดอกเป็นหลอดสีเหลือง ส่วนปลายแยกเป็น 5 กลีบ เมล็ด รีแบน ผิวเรียบสีขาว ผล รูปทรงกระบอกมีลายเขียวแก่มีพื้นสีเขียวอมขาวมีขนาดต่างๆ กัน ในทางพฤกษศาสตร์แตงกวาและแตงกวาและแตงร้านมีชื่อวิทยาศาสตร์เดียวกัน พืชนี้มีถิ่นกำเนิดในทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย เป็นพืชที่รู้จักกันดี ในบางพันธุ์ผลที่ยังอ่อนจะมีตุ่มยื่นออกมา
แตงร้านเป็นยาระบายความร้อนในกระเพาะอาหารและปวด แก้ไขตัวร้อนในเด็ก รักษาอาการไอจากโรคปอด ขับเสมหะ คออักเสบ แก้กระหายน้ำ แก้ร้อนใน
คุณค่าอาหาร
แตงร้าน 100 กรัม ให้พลังงาน 15.0 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย
แตงร้าน เป็นพืชผัก มีวิธีการปลูก ๒ แบบ คือ แบบขึ้นค้าง และแบบเลื้อยตามดิน
การเตรียมดินปลูก ไถดินด้วยผาน 3 และไถพรวนด้วยผาน 7 ตากดิน 5-7 วัน ใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก รองพื้น ทำการพรวนดินปรับหน้าดินหลังจากนั้นทำการยกร่อง แบบร่องปลูกผัก หรือชักร่องแบบปล่อยน้ำ
การปลูก ใช้ระยะการปลูก คือ ระหว่างต้น 70 เซนติเมตร ระหว่างแถว 1 เมตร ขุดหลุม หยอดเมล็ดหลุมละ 2-3 เมล็ด รดน้ำให้ชุ่ม หลังหยอดเมล็ด 3 วัน ต้นกล้าจะเริ่มงอก ส่วนการปลูกในร่องที่ปล่อยน้ำ เริ่มจากปล่อยน้ำพอดินหมาดๆก็ทำการตีหลุมแล้วหยอดเมล็ดได้
การปักค้าง ใช้ไม้ไผ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ยาวประมาณ 2 เมตร ปักตรงหลุมที่ปลูก ทุกหลุม ขึงด้วยตาข่ายเอ็น เพื่อให้เถาแตงร้านเกาะขึ้นได้ง่าย และสะดวกในการเก็บผลผลิต
การให้น้ำ วิธีการให้น้ำแตงร้านมีหลายวิธี เช่น แบบรดนํ้าด้วยฝักบัว ลากสายยาง แบบวิดน้ำหรือสาด แบบสปริงเกอร์ หรือแบบน้ำหยด โดยรดเช้าและเย็นในระยะแรกๆ และเมื่อแตงร้านออกดอกติดผล และพิจารณาการรดน้ำตามสภาพอากาศ
การใส่ปุ๋ย ทำการใส่ใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อแตงร้านงอกมาแล้วประมาณ 10 วัน และทำการใส่ปุ๋ยทุกๆ 10 วัน อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ พอแตงร้านเริ่มทอดยอดจนถึงออกดอก และติดผล ควรพ่นปุ๋ยน้ำ หรือพวกฮิวมิก แอซิด หรืออะมิโนแอซิด ผสมกับสาหร่ายทะเล เพื่อช่วยในการแตกแขนง ออกดอก และเพิ่มผลผลิต
การปลูกแตงร้านแบบขึ้นค้าง มีวิธีกาปลูกดังนี้
ขั้นเตรียมดิน
การเก็บเกี่ยว เมื่อแตงร้านอายุได้ประมาณ 45-50 วัน ก็เริ่มเก็บผลผลิตได้ โดยเลือกผลที่ไม่อ่อนหรือแก่ จนเกินไป ใส่ถุงปุ๋ย หรือตะกร้าที่บุด้วยผ้ากันผิวแตงร้านเสียหาย นำมาคัดขนาดใส่ถุงๆ ละ 10 กิโลกรัม รอการจำหน่ายต่อไป ราคาที่ขายได้จะไม่ค่อยแน่นอนจะขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ หรือฤดูการที่ออก
โรค โรคที่สำคัญของแตงร้านเรียงตามลำดับของการระบาดรุนแรง คือ โรครานํ้าค้าง โรคใบจุด โรคใบไหม้ ป้องกันกำจัดโดยการฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น ไดเมทโทม็อบ เมทาแลคซิล คลอโรทาโลนิล ตัวใดตัวหนึ่ง
แมลง แมลงที่พบว่ามีการระบาด ได้แก่เพลี้ยไฟ แมลงหวี่ขาว หนอนกระทู้ผัก หนอนคืบ เต่าแตง ป้องกันกำจัดโดยการฉีดพ่นสารเคมี เช่น อะบาเม็กติน คาร์โบซันแฟน ปิโตเลียมออยล์ ตัวใดตัวหนึ่งหรือสลับกันพ่น
ข้อมูลจาก มอนไม้.คอม
ปลูกแตงร้านไม่ยากเหมือนปลูกบวบตรงที่ ไม่ต้องทำค้างด้านบนเหมือนบวบครับ คือทำแค่ข้างๆ ปักไม้ยาวๆไปได้เลย ที่ปลูกระยะห่าง 75ซม. ขั้นตอนก็เหมือนบวบครับ เริ่มจากยกร่อง คลุมพลาสติก วางระบบน้ำ เสร็จก็ปักไม้ขึงตาข่าย ลืมบอกวิธีเจาะรู พลาสติกคลุมดินครับ ก็หากระป๋องนมเก่าๆครับ มาเจาะรูใส่ถ่านร้อนๆครับ ก่อนใส่ถ่าน ก็หาไม้ลวกหรือไม้อะไรก็ได้ยึดกับกระป๋องไม่ให้หลุด จากนั้นก็ใส่ถ่านร้อนๆลงไป คราวนี้ก็กดลงไปบนพลาสติกเลยครับ แป๊ปเดียวเสร็จครับ ไม่ต้องนั่งใช้คัตเตอร์กรีดทีละรู เจาะรูเสร็จก็ขุดหลุมปลูกเลยครับ อาจจะรองก้นหลุมด้วยขี้วัว 1 กำมือ แล้วหยอดเมล็ด 2-3 เมล็ดต่อหลุมกลบดินเลย ซักอาทิตย์ก็งอกแล้วครับ ปัญหาที่ผมเจอก็คือเจ้าหอยทากตัวเล็กมันมากินเมล็ดหมดเลยครับ ซ่อมยังไงมันก็มากิน ทำให้เสียเวลามากครับ ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยครับ คราวหน้าคงต้องคลุกกับยาซะก่อน พอเริ่มถึง30วันก็ติดดอกแล้วครับ แต่ก็ยังมีปัญหาครับ แตงของผมช้ากว่าสวนข้างๆมากถึงวันติดดอกแล้วต้นยังเลื้อยไม่สุดค้างเลย เป็นเพราะขาดปุ๋ยครับ ผมไม่ได้ใส่ปุ๋ยเคมี ก็เลยช้าครับ ผมเน้นลดต้นทุน ก็เลยทดลองไม่ใส่ปุ๋ย
การปลูกแตงร้าน
แตงร้านซึ่งเป็นผักฉ่ำน้ำ กินแล้วจึงทำให้รู้สึกสดชื่น นอกจากนี้ แตงร้าน เป็นผักฤทธิ์เย็นที่มีสรรพคุณช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกาย และกระตุ้นการทำงานของระบบทางเดินอาหาร
ชื่อวงศ์ Cucurbitaceae
ชื่อสามัญ Cucumber
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cucumis sativus L.
ชื่อท้องถิ่น แตงขี้ไก่ แตงขี้ควาย แตงช้าง แตงร้าน (ภาคเหนือ) แตงปี แตงยาง (แม่ฮ่องสอน) แตงเห็น แตงอ้ม (เชียงใหม่) ตาเสาะ (เขมร) อึ่งกวย (จีน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
แตงร้านเป็นไม้เถามีอายุปีเดียว ต้น มีขนหยาบสีขาว ใบ ออกสลับกันทรงสามเหลี่ยม มนใหญ่ กว้าง 12-18 เซนติเมตร มีแฉกใหญ่ 3-5 แฉก ตัวใบมีขนทั้งสองด้าน ดอก แยกเป็นดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่บนต้นเดียวกันกลีบดอกเป็นหลอดสีเหลือง ส่วนปลายแยกเป็น 5 กลีบ เมล็ด รีแบน ผิวเรียบสีขาว ผล รูปทรงกระบอกมีลายเขียวแก่มีพื้นสีเขียวอมขาวมีขนาดต่างๆ กัน ในทางพฤกษศาสตร์แตงกวาและแตงกวาและแตงร้านมีชื่อวิทยาศาสตร์เดียวกัน พืชนี้มีถิ่นกำเนิดในทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย เป็นพืชที่รู้จักกันดี ในบางพันธุ์ผลที่ยังอ่อนจะมีตุ่มยื่นออกมา
แตงร้านเป็นยาระบายความร้อนในกระเพาะอาหารและปวด แก้ไขตัวร้อนในเด็ก รักษาอาการไอจากโรคปอด ขับเสมหะ คออักเสบ แก้กระหายน้ำ แก้ร้อนใน
คุณค่าอาหาร
แตงร้าน 100 กรัม ให้พลังงาน 15.0 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย
- คาร์โบไฮเดรต 2.7 กรัม
- เส้นใย 0.4 กรัม
- โปรตีน 1 กรัม
- แคลเซียม 28 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 32 มิลลิกรัม
- เหล็ก 0.5 มิลลิกรัม
- วิตามินเอ 462 IU.
- วิตามินซี 18 มิลลิกรัม
แตงร้าน เป็นพืชผัก มีวิธีการปลูก ๒ แบบ คือ แบบขึ้นค้าง และแบบเลื้อยตามดิน
การเตรียมดินปลูก ไถดินด้วยผาน 3 และไถพรวนด้วยผาน 7 ตากดิน 5-7 วัน ใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก รองพื้น ทำการพรวนดินปรับหน้าดินหลังจากนั้นทำการยกร่อง แบบร่องปลูกผัก หรือชักร่องแบบปล่อยน้ำ
การปลูก ใช้ระยะการปลูก คือ ระหว่างต้น 70 เซนติเมตร ระหว่างแถว 1 เมตร ขุดหลุม หยอดเมล็ดหลุมละ 2-3 เมล็ด รดน้ำให้ชุ่ม หลังหยอดเมล็ด 3 วัน ต้นกล้าจะเริ่มงอก ส่วนการปลูกในร่องที่ปล่อยน้ำ เริ่มจากปล่อยน้ำพอดินหมาดๆก็ทำการตีหลุมแล้วหยอดเมล็ดได้
การปักค้าง ใช้ไม้ไผ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ยาวประมาณ 2 เมตร ปักตรงหลุมที่ปลูก ทุกหลุม ขึงด้วยตาข่ายเอ็น เพื่อให้เถาแตงร้านเกาะขึ้นได้ง่าย และสะดวกในการเก็บผลผลิต
การให้น้ำ วิธีการให้น้ำแตงร้านมีหลายวิธี เช่น แบบรดนํ้าด้วยฝักบัว ลากสายยาง แบบวิดน้ำหรือสาด แบบสปริงเกอร์ หรือแบบน้ำหยด โดยรดเช้าและเย็นในระยะแรกๆ และเมื่อแตงร้านออกดอกติดผล และพิจารณาการรดน้ำตามสภาพอากาศ
การใส่ปุ๋ย ทำการใส่ใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อแตงร้านงอกมาแล้วประมาณ 10 วัน และทำการใส่ปุ๋ยทุกๆ 10 วัน อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ พอแตงร้านเริ่มทอดยอดจนถึงออกดอก และติดผล ควรพ่นปุ๋ยน้ำ หรือพวกฮิวมิก แอซิด หรืออะมิโนแอซิด ผสมกับสาหร่ายทะเล เพื่อช่วยในการแตกแขนง ออกดอก และเพิ่มผลผลิต
การปลูกแตงร้านแบบขึ้นค้าง มีวิธีกาปลูกดังนี้
ขั้นเตรียมดิน
- ไถดินลึกประมาณ ๓๐-๓๕ ซ.ม. ทำเป็นยกร่อง เว้นร่องน้ำระหว่างแปลง ประมาณ ๕๐ ซ.ม. ตากแดดทิ้งไว้ ๗-๑๐ วัน
- ขุดหลุมที่จะปลูก ความกว้างประมาณ ๓๐ ซ.ม. ลึก ๑๕-๒๐ ซ.ม. ความห่างระหว่างต้น ๔๐-๕๐ ซ.ม. ระหว่างแถว ๘๐-๑๐๐ ซ.ม. ใส่ปุ๋ยคอกรองก้นหลุมก่อน
- หยอดพันธุ์เมล็ดแตงร้าน ๑-๒ เมล็ด/หลุม
- เมื่อแตงมีใบจริง ๒-๓ ใบ ถอนแยกให้เหลือหลุมละ ๑ ต้น
- ประมาณ ๓๐ วัน เป็นระยะแตงออกดอกบาน ให้ออกผล เป็นระยะที่จะต้องให้น้ำมากเป็นพิเศษแต่ไม่ให้น้ำท่วมขัง
- ระยะเวลา ๓๕ วัน เป็นระยะบำรุงผล หากต้องการให้แตงมีความกรอบและหวาน ก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ ๑ อาทิตย์ ให้ฉีดพ่นด้วยนมสด
การเก็บเกี่ยว เมื่อแตงร้านอายุได้ประมาณ 45-50 วัน ก็เริ่มเก็บผลผลิตได้ โดยเลือกผลที่ไม่อ่อนหรือแก่ จนเกินไป ใส่ถุงปุ๋ย หรือตะกร้าที่บุด้วยผ้ากันผิวแตงร้านเสียหาย นำมาคัดขนาดใส่ถุงๆ ละ 10 กิโลกรัม รอการจำหน่ายต่อไป ราคาที่ขายได้จะไม่ค่อยแน่นอนจะขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ หรือฤดูการที่ออก
โรค โรคที่สำคัญของแตงร้านเรียงตามลำดับของการระบาดรุนแรง คือ โรครานํ้าค้าง โรคใบจุด โรคใบไหม้ ป้องกันกำจัดโดยการฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น ไดเมทโทม็อบ เมทาแลคซิล คลอโรทาโลนิล ตัวใดตัวหนึ่ง
แมลง แมลงที่พบว่ามีการระบาด ได้แก่เพลี้ยไฟ แมลงหวี่ขาว หนอนกระทู้ผัก หนอนคืบ เต่าแตง ป้องกันกำจัดโดยการฉีดพ่นสารเคมี เช่น อะบาเม็กติน คาร์โบซันแฟน ปิโตเลียมออยล์ ตัวใดตัวหนึ่งหรือสลับกันพ่น
ข้อมูลจาก มอนไม้.คอม
แตงร้านดี+แตงรอง
จริงๆ แล้วระยะห่างของแตงมันเยอะครับ ผมก็เลยปลูกถั่วฝักยาวคั่นกลาง ผมคาดว่าถั่วฝักยาวที่ปลูกทีหลังแตง 7วัน มันแย่งสารอาหารที่มีอยู่ในดินธรรมชาติไปหมด ทำให้เก็บแตงได้ไม่เต็มที่ 2ร่องเก็บเฉลี่ยวันละ 30โล เพราะต้นมันเล็กครับ ผลแตงมันก็งอเยอะ งอก็เป็นแตงรองไป ราคาตอนนั้นแตงดี 12 แตงรอง7บาท ก็พอได้ ยังไงก็กำไร เพราะไม่ได้ใช้เคมี ต้องเก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆครับ อีกสาเหตุที่ทำให้ต้นเล็ก ก็เพราะหนอนมันมากินยอดเต็มไปหมดเลยครับมันกุดเลยไม่สูงเลย ด้วงเต่าแตงด้วยกินใบกันโกร๋นหมด คลิก ติดตามลิงก์หนอนม้วนใบและเต่าแตงฉีดบิวเวอเรีย3วันครั้ง ก็ยังไม่หมด นี่แหละครับปัญหาของเกษตรกรปลอดสารเคมี วันนี้คงต้องจบเรื่องแตงร้านไว้เท่านี้ เดี๋ยวจะมาแชร์เรื่องถั่วฝักยาวต่อในบทความต่อไป คราวนี้รับรองดีกว่าแตงร้านครับ
วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
คนอื่นไม่ยอมรับ ทำไงดี
เป็นพนักงานบริษัท ข้าราชการอยู่ดีๆ มาทำเกษตรทำไม เชื่อว่าหลายคนคงเคยโดนหรือได้ยินคำพูดเหล่านี้ 'แบบนี้ไม่ต้องส่งให้เรียนป.ตรีหรอกเสียดายตัง' เรียนไปก็ไม่ได้ใช้ ก็เข้าใจคนคิดคนพูดครับอุตส่าหาเงินส่งเสียเรามาจนจบก็อยากให้มีงานที่มั่นคง ไม่อยากให้มาลำบากชีวิตไม่มีความแน่นอน แต่ผมเองก็คิดกลับกันครับ ถ้าเราไม่เรียนอย่างน้อยก็ป.ตรีเราอาจจะไม่ทันคนอ่ื่นเขาในแง่ต่างๆ ชีวิตไม่ได้มีแค่ด้านเดียว การวางแผนชีวิตก็สำคัญ เรียนป.ตรีถ้าไม่ตั้งใจเลยไม่วางแผนตัวเองก็คงไม่จบหรอกครับ ผมเรียนเอกชนยังต้องมีวินัยเลยถึงจะจบ นั่นหมายความว่าจบมาแล้วมาทำเกษตรมันไม่ใช่เรื่องเสียหายเลยครับอาชีพสุจริต ไม่ใช่อยู่ดีๆเราเดินไปบอกพ่อแม่ว่า 'พ่อครับผมขอไปเป็นเด็กแว้นครับใจมันบอกว่าใช่' เออถ้าแบบนี้จะว่าก็ว่าเถอะครับ ถ้าใครมีลูกที่คิดจะทำอะไรซักอย่างแล้วมันไม่ทำ
วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
ทำสวนจริงจัง ต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง(พื้นฐาน)
เมื่อคิดจะเป็นเกษตรกร หลายคนคงเหมือนผมครับ ยืนมองที่ดินแล้วคิดว่ามันจะเริ่มตรงไหนดี แรกๆก็คิดแต่จะปลูกนั่นปลูกนี่ แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ อุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นครับ ผมจะบอกในแบบฉบับของผมนะครับ ขาดตกบกพร่องยังไงขออภัยด้วยนะครับ
2.ระบบน้ำ
หญ้าสั้นแล้วต้องคิดเรื่องน้ำครับ รดน้ำต้นไม้ยังไงดี สายยางคงไม่ไหว เห็นข้างๆเขาใช้เรือรดน้ำกัน มันก็ดีอะครับเร็วดี น่าสนุกด้วย ขับเรือคงสนุกดี ความคิดคนเมืองอะครับ ก็ไปถามว่าเรือเท่าไหร่ ตอนนั้นเขาบอกว่าประมาณ4-5หมื่น โอ้ แพงจริงๆ งบไม่มีครับ เลยหาวิธีอื่น ตอนแรกจะใช้ไดโว่ครับ ดูดน้ำขึ้นมา แล้วปล่อยตามสาย pe คิดตื้นๆครับ ที่บ้านมีอยู่เครื่ิองนึงกำลังไม่แรงมาก ลองดูดดูน้ำ น้ำก็ออกแรงดีครับ แต่มาคิดๆดูปล่อยน้ำไปไกล100เมตรคงไม่ไหวแน่ ก็เลยติดตั้ง ปั้มน้ำ
ตอนนี้ที่ใช้เป็น Lucky Pro ครับ 2นิ้ว2แรง จากดูโฮมครับ ราคาน่าจะ6-7พัน มีคนมาช่วยต่อระบบให้ครับ ยุ่งยากเหมือนกัน ใครที่ชีวิตไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับท่อน้ำเลย(เหมือนผม) งงครับ ข้อต่อนู่นนี่ ท่อขนาด2นิ้วยังไม่รู้จักเลย เดาเอาว่ามันต้องใหญ่สุด เขาบอกให้ตัดก็ตัดครับ แต่ที่ผมรู้ มันต้องมี ฟุตวาล์วทองเหลือง กรองน้ำท่อ2นิ้ว เรื่องนี้ผมแนะนำไม่ได้มากครับ เอาไว้ถ่ายรูปมาให้ดูแล้วถามผมจากรูปเองดีกว่า สุดท้ายก็เสร็จครับ เริ่มแรกก็ลองปล่อยน้ำไปกับท่อpeครึ่งนิ้วดูคิดว่าไหว ไปได้50เมตรก็หมดแรงครับ เลยต้องต่อท่อเมน2นิ้ว ไป50เมตรแล้วแท็บท่อpeตามต้องการครับ ก็พอได้ครับ แต่หลังๆปล่อยสปริงเกอร์จะเบาหน่อย ต้องเดินท่อเมนไปไกลกว่านี้ แต่ส่วนใหญ่ใช้น้ำหยดครับเลยไม่เป็นไร
1.เครื่องตัดหญ้า
ถ้ายืนมองภาพนี้แล้วคิดเหมือนผมมั้ยครับ หญ้ามันยาวแล้วนะ ตัดยังไงดี กรรไกรตัดหญ้าเหรอ คงไม่ไหว จอบสิใช่เลย ลองดูแล้วกัน เอาเข้าจริงถากไปได้หน่อยนึงก็เหนื่อยแล้วครับ สำหรับคนเมืองอย่างผม ผมก็อดทนทำไปได้2ร่องหละครับ สุดท้ายก็ไม่ไหวใช้เวลานาน เลยต้องมองหาเครื่องตัดหญ้า เห็นสวนข้างๆเขาใช้เครื่ิองสะพายข้างกัน ก็ลุยเลยครับ พอดีพ่อมีอยู่เครื่องนึงเครื่องเก่าแต่พอใช้ได้ เริ่มสตาร์ทก็งงแล้วครับ ไม่ติดซักที เปิดโช็กก็ไม่เป็นไม่รู้จัก ก็เอาจนได้ครับ นึกว่าง่าย เหนื่อยเหมือนกันครับ ปวดไหล่ ตัดไปนานๆก็จะมีเทคนิคเป็นของตัวเองครับ ทำตามคนอื่นไม่ได้หรอก ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง2.ระบบน้ำ
หญ้าสั้นแล้วต้องคิดเรื่องน้ำครับ รดน้ำต้นไม้ยังไงดี สายยางคงไม่ไหว เห็นข้างๆเขาใช้เรือรดน้ำกัน มันก็ดีอะครับเร็วดี น่าสนุกด้วย ขับเรือคงสนุกดี ความคิดคนเมืองอะครับ ก็ไปถามว่าเรือเท่าไหร่ ตอนนั้นเขาบอกว่าประมาณ4-5หมื่น โอ้ แพงจริงๆ งบไม่มีครับ เลยหาวิธีอื่น ตอนแรกจะใช้ไดโว่ครับ ดูดน้ำขึ้นมา แล้วปล่อยตามสาย pe คิดตื้นๆครับ ที่บ้านมีอยู่เครื่ิองนึงกำลังไม่แรงมาก ลองดูดดูน้ำ น้ำก็ออกแรงดีครับ แต่มาคิดๆดูปล่อยน้ำไปไกล100เมตรคงไม่ไหวแน่ ก็เลยติดตั้ง ปั้มน้ำ
ตอนนี้ที่ใช้เป็น Lucky Pro ครับ 2นิ้ว2แรง จากดูโฮมครับ ราคาน่าจะ6-7พัน มีคนมาช่วยต่อระบบให้ครับ ยุ่งยากเหมือนกัน ใครที่ชีวิตไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับท่อน้ำเลย(เหมือนผม) งงครับ ข้อต่อนู่นนี่ ท่อขนาด2นิ้วยังไม่รู้จักเลย เดาเอาว่ามันต้องใหญ่สุด เขาบอกให้ตัดก็ตัดครับ แต่ที่ผมรู้ มันต้องมี ฟุตวาล์วทองเหลือง กรองน้ำท่อ2นิ้ว เรื่องนี้ผมแนะนำไม่ได้มากครับ เอาไว้ถ่ายรูปมาให้ดูแล้วถามผมจากรูปเองดีกว่า สุดท้ายก็เสร็จครับ เริ่มแรกก็ลองปล่อยน้ำไปกับท่อpeครึ่งนิ้วดูคิดว่าไหว ไปได้50เมตรก็หมดแรงครับ เลยต้องต่อท่อเมน2นิ้ว ไป50เมตรแล้วแท็บท่อpeตามต้องการครับ ก็พอได้ครับ แต่หลังๆปล่อยสปริงเกอร์จะเบาหน่อย ต้องเดินท่อเมนไปไกลกว่านี้ แต่ส่วนใหญ่ใช้น้ำหยดครับเลยไม่เป็นไร
จากรูปจะเห็นท่อเมนสีฟ้าเดินมาจากปั้มน้ำที่บ้านครับ
วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
ก้าวต่อไป "ปลูกบวบเหลี่ยม"
หลังจากยอมแพ้ให้กับผักบุ้งจีน ก็ได้ศึกษาพืชตัวอื่นๆอีกเรื่อยๆครับ จนมาหยุดอยู่ที่ "บวบเหลี่ยม" พืชอีกตัวที่น่าสนใจ
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ซึ่งการปลูกบวบเหลี่ยมนั้น ก็ไม่ยากครับแต่ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน ที่ว่าไม่ยากนั้นในประสบการณ์ของผมก็คือ หนอนไม่ค่อยมีครับ แต่คงจะไม่ง่ายมากกว่าไม่ยาก ไม่งงใช่มั้ยครับ ต้องทำค้างให้เค้าเรื่อยครับ ก่อนอื่นก็ยกร่องก่อน เสร็จแล้วคลุมพลาสติก วางระบบน้ำ เป็นน้ำหยดนะครับ แล้วก็ใช้เหล็กแทงดินที่จะปักไม้ เป็นไม้ไผ่ตัดครึ่งนะครับ ปักห่างกันประมาณ 2 เมตร ปักเสร็จ นำไม้ไผ่มัดค้างข้างบน เหมือนในรูปครับ เสร็จแล้วใช้ตาข่าย 10ตา นะครับ ผูกกับด้านข้างยาวไปจนสุดเลยครับ ข้างบนก็ทำเหมือนกันนะครับ แต่ต้องรองด้วย เชือกฟางประมาณ5เส้นก่อน เพื่อไม่ให้ตาข่ายย้อยลงมาเวลาบวบติดลูกนะครับ เสร็จเวลาเค้าโตก็ช่วยจับเค้าพันตาข่ายบ้างครับ อีกอย่างคือหนอนไม่เยอะก็จริงครับ แต่ขึ้นชื่อว่า พืชตระกูลแตง (Cucurbitaceae) อุปสรรคต้องมากเป็นธรรมดา ตอนผมปลูกแรกๆก็ดีครับ เขียว ใบใหญ่ แข็งแรง
บวบเหลี่ยม
เป็นพืชผักที่อยู่ในตระกูล Cucurbitaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Luffa
acutangula เป็นผักที่ใช้บริโภคส่วนของผล
สามารถนำมาประกอบเป็นอาหารได้หลายชนิด เช่น ต้ม แกง ผัด หรือจิ้มน้ำพริก มีรสหวาน
นอกจานี้บวบยังเป็นพืชที่มีลักษณะพิเศษ คือ ทนแล้ง ทนฝน
โรคและแมลงไม่รบกวน
บวบเหลี่ยมเป็นพืชเถาเลื้อย อายุสั้น มีมือจับเกาะช่วยพยุงลำต้นบวบเหลี่ยมต่างจากบวบชนิดอื่นตรง ที่ผลมีลักษณะเป็นเหลี่ยม หลายเหลี่ยม ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียแยกกันอยู่ในต้นเดียวกันเช่นเดียวกับบวบหอม แต่มีลักษณะแตกต่างกันที่ใบเลี้ยงของต้นกล้า บวบเหลี่ยมมีสีเขียว ใบแก่มีสีเขียวอ่อนกว่าใบใหญ่กว่าเล็กน้อย ลอนบนใบตื้นกว่า ดอกจะบานในเวลาเย็น โดยบานตั้งแต่เวลา 17.30 น.เป็นต้นไป มีเหลี่ยมตามความยาวของผลตั้งแต่ขั้วจรดปลายผล ผิวผลค่อนข้างขรุขระ สีเขียวแก่
สำหรับพันธุ์ของบวบเหลี่ยมที่ปลูกในบ้านเรา ยังไม่มีการจำแนกรายละเอียดออกเป็นพันธุ์ต่างๆ ส่วนใหญ่ถือเป็นพันธุ์พื้นเมือง เพราะปลูกกันมานาน และมักเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์เองต่อๆ กันไป
บวบเหลี่ยมเป็นพืชเถาเลื้อย อายุสั้น มีมือจับเกาะช่วยพยุงลำต้นบวบเหลี่ยมต่างจากบวบชนิดอื่นตรง ที่ผลมีลักษณะเป็นเหลี่ยม หลายเหลี่ยม ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียแยกกันอยู่ในต้นเดียวกันเช่นเดียวกับบวบหอม แต่มีลักษณะแตกต่างกันที่ใบเลี้ยงของต้นกล้า บวบเหลี่ยมมีสีเขียว ใบแก่มีสีเขียวอ่อนกว่าใบใหญ่กว่าเล็กน้อย ลอนบนใบตื้นกว่า ดอกจะบานในเวลาเย็น โดยบานตั้งแต่เวลา 17.30 น.เป็นต้นไป มีเหลี่ยมตามความยาวของผลตั้งแต่ขั้วจรดปลายผล ผิวผลค่อนข้างขรุขระ สีเขียวแก่
สำหรับพันธุ์ของบวบเหลี่ยมที่ปลูกในบ้านเรา ยังไม่มีการจำแนกรายละเอียดออกเป็นพันธุ์ต่างๆ ส่วนใหญ่ถือเป็นพันธุ์พื้นเมือง เพราะปลูกกันมานาน และมักเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์เองต่อๆ กันไป
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
บวบเหลี่ยม
สามารถปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด และดินค่อนข้างเป็นกรดเล็กน้อย
ในดินมีความชื้นสูงพอเหมาะสม่ำเสมอ ควรได้รับ แสงแดด เต็มที่ในระหว่างการปลูก
อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 20-30 องศาเซลเซียส สามารถปลูกได้ทุกฤดูกาล
การเตรียมดิน
บวบเหลี่ยม
เป็นผักที่มีระบบรากลึกปานกลาง ควรขุดไถดินลึกประมาณ 20-25 เซนติเมตร
ตากดินไว้ประมาณ 5-7 วัน ใส่ปุ๋ยคอก
หรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วคลุกเคล้าลงไปในดินโดยเฉพาะดินทรายและดินเหนียวต้องใส่ให้มาก
เพื่อปรับสภาพของดินให้ดีขึ้นและ เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
ถ้าดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาวปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ย่อยดินและ พรวนดิน ให้ละเอียดร่วนโปร่งพร้อมที่จะปลูกได้
Cr.www.vegetweb.com
Cr.www.vegetweb.com
ซึ่งการปลูกบวบเหลี่ยมนั้น ก็ไม่ยากครับแต่ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน ที่ว่าไม่ยากนั้นในประสบการณ์ของผมก็คือ หนอนไม่ค่อยมีครับ แต่คงจะไม่ง่ายมากกว่าไม่ยาก ไม่งงใช่มั้ยครับ ต้องทำค้างให้เค้าเรื่อยครับ ก่อนอื่นก็ยกร่องก่อน เสร็จแล้วคลุมพลาสติก วางระบบน้ำ เป็นน้ำหยดนะครับ แล้วก็ใช้เหล็กแทงดินที่จะปักไม้ เป็นไม้ไผ่ตัดครึ่งนะครับ ปักห่างกันประมาณ 2 เมตร ปักเสร็จ นำไม้ไผ่มัดค้างข้างบน เหมือนในรูปครับ เสร็จแล้วใช้ตาข่าย 10ตา นะครับ ผูกกับด้านข้างยาวไปจนสุดเลยครับ ข้างบนก็ทำเหมือนกันนะครับ แต่ต้องรองด้วย เชือกฟางประมาณ5เส้นก่อน เพื่อไม่ให้ตาข่ายย้อยลงมาเวลาบวบติดลูกนะครับ เสร็จเวลาเค้าโตก็ช่วยจับเค้าพันตาข่ายบ้างครับ อีกอย่างคือหนอนไม่เยอะก็จริงครับ แต่ขึ้นชื่อว่า พืชตระกูลแตง (Cucurbitaceae) อุปสรรคต้องมากเป็นธรรมดา ตอนผมปลูกแรกๆก็ดีครับ เขียว ใบใหญ่ แข็งแรง
ภาพบวบเหลี่ยมติดดอกครับ
วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
เริ่มต้นปลูกผักบุ้งจีน 2
หลังจากทราบวิธีปลูกผักบุ้งจีนทางวิชาการแล้ว จากประสบการณ์ คือ ต้องเริ่มตั้งแต่หาซื้อเมล็ดเลยครับ ที่ผมใช้เป็นของศรแดง ยอดไผ่9ครับ ราคารู้สึกตอนนั้นจะเป็น70บาท นะครับถ้าจำไม่ผิด ซื้อมา10 โลครับ โดยถ้าปลูกเป็นไร่ จะใช้เมล็ดประมาณ 28 โลต่อ1ไร่ครับ เมล็ด1โลได้ผักบุ้งประมาณ100โล แล้วแต่การดูแล เริ่มแรกก็แช่เมล็ดในน้ำอุ่นครับ ทิ้งไว้คืนนึงแล้วหว่านตอนเช้า โดยเราต้องฝึกหว่านให้เป็นก่อนครับ ไม่งั้นเมล็ดจะขึ้นหนาติดกันจนเกินไป จากนั้นซัก2-3วันก็งอกแล้วครับ ให้ใส่ปุ๋ยยูเรีย 46-0-0วันที่6และ10นะครับ เพื่อที่หญ้าจะได้โตไม่ทัน หว่านปุ๋ยเสร็จอย่าลืมรดน้ำทันทีนะครับ ไม่งั้นใบไหม้แน่นอน ผมเจอมาแล้ว ส่วนยาที่ใช้พ่นกันเชื้อรา ก็ตามสูตรนี้เลยครับ สูตรคลิกที่นี่ ปลอดสารเคมีครับ ปลอดภัยกับคนกินแน่นอน น้ำส้มควันไม้ผมก็หาซื้ออยู่นานครับกว่าจะเจอ เพราะแถวบ้านผม เค้าใช้แต่เคมีกัน พูดไปยังไม่รู้จักเลยครับ ทำหน้างงๆ ให้ไปหาในร้านเอง ผมก็เลยสั่งซื้อกับ TPI ครับ ซื้อออนไลน์ได้ครับ สะดวกดี คลิกสั่งซื้อที่นี่ ใช้ตามที่เว็บบอกเลยครับ ได้ผลครับลองแล้ว ต้นแข็งแรงดี เก็บซักวันที่18ครับ ผักจะกรอบพอดี ขนาดพอดี เก็บได้5วันนะครับ เกินนั้นต้นจะมีหนามแล้วใหญ่เกินไป ปัญหามันอยู่ตรงเก็บนี่แหละครับ เก็บยากมากครับ วิธีคือต้องถอนออกมาทั้งต้นเลยครับ แล้วนำรากมาล้างน้ำ จากนั้นก็ชักใบที่โคนออกใบเลี้ยงอะครับ แรกๆผมก็งง ขายที่ตลาดสดทั่วไปก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต้องส่งขายที่ ตลาดสี่มุมเมืองครับ สเป็คเขาสูงมาก ต้องดึงใบออกประมาณครึ่งต้นเลยครับ ไม่งั้นโดนด่าว่าไม่สวย ยิ่งทำให้ยากขึ้นอีกครับ ตอนเก็บก็เก็บกลางแดดตั้งแต่6โมงยันเที่ยงเลยครับ ผักบุ้งเหี่ยวง่ายมาก ต้องรีบเอาเข้าที่ร่ม ที่ขายต้องเก็บรวมให้ได้5โลต่อ1ถุง ตอนแรกวางแผนไว้เก็บให้ได้วันละ100โล โลละ10 บาท ก็น่าจะได้วันละ 1000 แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดครับ วันนึงเก็บได้แค่35 โลหรือ7ถุงเองครับ แล้วก็เหนื่อยมากครับไม่คุ้มเลย มีกันอยู่2คนกับแฟน จ้างก็ไม่คุ้มครับ ได้โลละ7บาท4บาทเองครับ โดนกดราคาสุดๆ ทั้งๆที่ราคาในเว็บมันมากกว่านั้นตั้งเยอะ สุดท้ายก็ต้องยอมครับ เก็บไม่ทันจนมันแก่จัดมีหนามเลยครับ ต้องยอมทิ้งไปเยอะเลยครับ ส่วนตัวคิดว่ามันไม่ง่ายครับ ปลูกผักบุ้ง ไม่ง่ายเหมือนในคลิปที่ลุงบอกเลยครับ บทความผักบุ้งจีน+คลิป
เริ่มต้นปลูกผักบุ้งจีน
ก่อนจะมาปลูกผักบุ้งจีน มารู้จักผักบุ้งจีนกันก่อน
ผักบุ้งจีนใช้เวลาในการงอกเพียง 48 ชั่วโมง ระยะแรกของการเจริญเติบโตจะให้ลำต้นตั้งตรง หลังจากงอกได้ 5-7 วัน จะมีใบเลี้ยงโผล่ออกมา 2 ใบ มีลักษณะปลายใบเป็นแฉก ไม่เหมือนกับใบจริงเมื่อต้นโตในระยะสองสัปดาห์แรก จะมีการเจริญเติบโตทางลำต้นอย่างรวดเร็วจนกระทั่งอายุประมาณ 30-45 วัน การเจริญเติบโตจะเปลี่ยนไปในทางทอดยอดและแตกกอ สำหรับผักบุ้งจีนที่หว่านด้วยเมล็ด การแตกกอจะมีน้อยมาก การแตกกอเป็นการแตกหน่อออกมาจากตาที่อยู่บริเวณโคนต้นที่ติดกับราก มีตาอยู่รอบต้น 3-5 ตา เมื่อแตกแถวออกมาแล้วจะเจริญทอดยอดยาวออกไปเป็นลำต้น มีปล้องข้อ และทุกข้อจะให้ดอกและใบ
1. การเลือกที่ปลูก การปลูกผักบุ้งจีนเพื่อการบริโภคสดเป็นการปลูกผักบุ้งจีนแบบหว่าน หรือโรยเมล็ดลงบนแปลงปลูกโดยตรง เมื่อถึงอายุเก็บเกี่ยว 20-25 วัน จะถอนต้นผักบุ้งจีนทั้งต้นและรากออกจากแปลงปลูกไปบริโภคหรือไปจำหน่ายต่อไป ในการปลูกนั้นควรเลือกปลูกในที่มีการคมนาคมขนส่งสะดวก สภาพที่ดอน น้ำไม่ท่วม หรือเป็นแบบสวนผักแบบยกร่อง เช่น เขตภาษีเจริญ บางแค กรุงเทพฯ บางบัวทอง นนทบุรี นครปฐม และราชบุรี เป็นต้น ลักษณะดินปลูกควรเป็นดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย เพื่อถอนต้นผักบุ้งจีนได้ง่าย และควรอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เพื่อสะดวกในการรดน้ำในช่วงการปลูก และทำความสะอาดต้นและรากผักบุ้งจีนในช่วงการเก็บเกี่ยว
2. การเตรียมดิน ผักบุ้งจีนเป็นพืชผักที่มีระบบรากตื้น ในการเตรียมดินควรไถตะตากดินไว้ประมาณ 15-30 วัน แล้วดำเนินการไถพรวนและขึ้นแปลงปลูก ขนาดแปลงกว้าง 1.5-2 เมตร ยาว 10-15 เมตร เว้นทางเดินระหว่างแปลง 40-50 เซนติเมตร เพื่อสะดวกในการปฏิบัติดูแลรักษา ใส่ปุ๋ยคอก (มูลสุกร เป็ด ไก่ วัว ควาย) หรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว คลุกเคล้าลงไปในดิน พรวนย่อยผิวหน้าดินให้ละเอียดพอสมควรปรับหลังแปลงให้เรียบเสมอกัน อย่าให้เป็นหลุมเป็นบ่อ เมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีนจะขึ้นไม่สม่ำเสมอทั้งแปลง ถ้าดินปลูกเป็นกรด ควรใส่ปูนขาวเพื่อปรับระดับพีเอชของดินให้สูงขึ้น
3. วิธีการปลูก ก่อนปลูกนำเมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีนไปแช่น้ำนาน 6-12 ชั่วโมง เพื่อให้เมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีนดูดซับน้ำเข้าไปในเมล็ด มีผลให้เมล็ดผักบุ้งจีนงอกเร็วขึ้น และสม่ำเสมอกันดี เมล็ดผักบุ้งจีนที่ลอยน้ำจะเป็นเมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีนที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ควรนำมาเพาะปลูก ถึงแม้จะขึ้นได้บ้าง แต่จะไม่สมบูรณ์แข็งแรงอาจจะเป็นแหล่งทำให้เกิดโรคระบาดได้ง่าย นำเมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีนที่ดีไม่ลอยน้ำมาหว่านให้กระจายทั่วทั้งแปลงให้เมล็ดห่างกันเล็กน้อย ต่อจากนั้นนำดินร่วนหรือขี้เถ้าแกลบดำหว่านกลบเมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีนหนาประมาณ 2-3 เท่าของความหนาของเมล็ดหรือประมาณ 0.5 เซนติเมตร แต่ถ้าแหล่งที่ปลูกนั้นมีเศษฟางข้าว จะใช้ฟางข้าวคลุมแปลงปลูกบาง ๆ เพื่อช่วยเก็บรักษาความชื้นในดิน หรือทำให้หน้าดินปลูกผักบุ้งจีนไม่แน่นเกินไป รดน้ำด้วยบัวรดน้ำหรือใช้สายยางติดฝักบัวรดน้ำให้ความชื้น แปลงปลูกผักบุ้งจีนทุกวัน ๆ ละ 1-2 ครั้ง ประมาณ 2-3 วัน เมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีน จะงอกเป็นต้นผักบุ้งจีนต่อไป
ผักบุ้งจีนใช้เวลาในการงอกเพียง 48 ชั่วโมง ระยะแรกของการเจริญเติบโตจะให้ลำต้นตั้งตรง หลังจากงอกได้ 5-7 วัน จะมีใบเลี้ยงโผล่ออกมา 2 ใบ มีลักษณะปลายใบเป็นแฉก ไม่เหมือนกับใบจริงเมื่อต้นโตในระยะสองสัปดาห์แรก จะมีการเจริญเติบโตทางลำต้นอย่างรวดเร็วจนกระทั่งอายุประมาณ 30-45 วัน การเจริญเติบโตจะเปลี่ยนไปในทางทอดยอดและแตกกอ สำหรับผักบุ้งจีนที่หว่านด้วยเมล็ด การแตกกอจะมีน้อยมาก การแตกกอเป็นการแตกหน่อออกมาจากตาที่อยู่บริเวณโคนต้นที่ติดกับราก มีตาอยู่รอบต้น 3-5 ตา เมื่อแตกแถวออกมาแล้วจะเจริญทอดยอดยาวออกไปเป็นลำต้น มีปล้องข้อ และทุกข้อจะให้ดอกและใบ
1. การเลือกที่ปลูก การปลูกผักบุ้งจีนเพื่อการบริโภคสดเป็นการปลูกผักบุ้งจีนแบบหว่าน หรือโรยเมล็ดลงบนแปลงปลูกโดยตรง เมื่อถึงอายุเก็บเกี่ยว 20-25 วัน จะถอนต้นผักบุ้งจีนทั้งต้นและรากออกจากแปลงปลูกไปบริโภคหรือไปจำหน่ายต่อไป ในการปลูกนั้นควรเลือกปลูกในที่มีการคมนาคมขนส่งสะดวก สภาพที่ดอน น้ำไม่ท่วม หรือเป็นแบบสวนผักแบบยกร่อง เช่น เขตภาษีเจริญ บางแค กรุงเทพฯ บางบัวทอง นนทบุรี นครปฐม และราชบุรี เป็นต้น ลักษณะดินปลูกควรเป็นดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย เพื่อถอนต้นผักบุ้งจีนได้ง่าย และควรอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เพื่อสะดวกในการรดน้ำในช่วงการปลูก และทำความสะอาดต้นและรากผักบุ้งจีนในช่วงการเก็บเกี่ยว
2. การเตรียมดิน ผักบุ้งจีนเป็นพืชผักที่มีระบบรากตื้น ในการเตรียมดินควรไถตะตากดินไว้ประมาณ 15-30 วัน แล้วดำเนินการไถพรวนและขึ้นแปลงปลูก ขนาดแปลงกว้าง 1.5-2 เมตร ยาว 10-15 เมตร เว้นทางเดินระหว่างแปลง 40-50 เซนติเมตร เพื่อสะดวกในการปฏิบัติดูแลรักษา ใส่ปุ๋ยคอก (มูลสุกร เป็ด ไก่ วัว ควาย) หรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว คลุกเคล้าลงไปในดิน พรวนย่อยผิวหน้าดินให้ละเอียดพอสมควรปรับหลังแปลงให้เรียบเสมอกัน อย่าให้เป็นหลุมเป็นบ่อ เมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีนจะขึ้นไม่สม่ำเสมอทั้งแปลง ถ้าดินปลูกเป็นกรด ควรใส่ปูนขาวเพื่อปรับระดับพีเอชของดินให้สูงขึ้น
3. วิธีการปลูก ก่อนปลูกนำเมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีนไปแช่น้ำนาน 6-12 ชั่วโมง เพื่อให้เมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีนดูดซับน้ำเข้าไปในเมล็ด มีผลให้เมล็ดผักบุ้งจีนงอกเร็วขึ้น และสม่ำเสมอกันดี เมล็ดผักบุ้งจีนที่ลอยน้ำจะเป็นเมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีนที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ควรนำมาเพาะปลูก ถึงแม้จะขึ้นได้บ้าง แต่จะไม่สมบูรณ์แข็งแรงอาจจะเป็นแหล่งทำให้เกิดโรคระบาดได้ง่าย นำเมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีนที่ดีไม่ลอยน้ำมาหว่านให้กระจายทั่วทั้งแปลงให้เมล็ดห่างกันเล็กน้อย ต่อจากนั้นนำดินร่วนหรือขี้เถ้าแกลบดำหว่านกลบเมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีนหนาประมาณ 2-3 เท่าของความหนาของเมล็ดหรือประมาณ 0.5 เซนติเมตร แต่ถ้าแหล่งที่ปลูกนั้นมีเศษฟางข้าว จะใช้ฟางข้าวคลุมแปลงปลูกบาง ๆ เพื่อช่วยเก็บรักษาความชื้นในดิน หรือทำให้หน้าดินปลูกผักบุ้งจีนไม่แน่นเกินไป รดน้ำด้วยบัวรดน้ำหรือใช้สายยางติดฝักบัวรดน้ำให้ความชื้น แปลงปลูกผักบุ้งจีนทุกวัน ๆ ละ 1-2 ครั้ง ประมาณ 2-3 วัน เมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีน จะงอกเป็นต้นผักบุ้งจีนต่อไป
จุดเริ่มต้นของผม
การเริ่มต้นของผมนั้น ผมเริ่มจากที่บ้านมีที่ดินว่างอยู่พอสมควร ที่ดินติดคลองชลประทาน เป็นร่องยกสูงน้ำล้อมรอบ มี3ร่อง ยาวประมาณ 100เมตร ผมเลือกที่จะปลูกผักบุ้ง เนื่องจากได้เข้าไปหาข้อมูลจาก google ซึ่งคิดว่าง่าย และเหมาะสมกับวิถีชีวิตเราตอนนั้น คือ บ้านอยู่ จ.ปทุมธานี มีพ่อค้ามารับซื้อผักทุกชนิด เข้าตลาดสี่มุมเมือง ผมจึงเริ่มติดตั้งระบบสูบน้ำ เป็นปั้มน้ำ 2นิ้ว 2 แรง LuckyPro จากจีน เพราะงบน้อยครับ ก็เริ่มติดตั้งลองผิดลองถูก จนสามารถส่งน้ำเข้าร่องด้วยระบบสปริงเกลอได้ประมาณ 50 เมตร ด้วยท่อเมน 2 นิ้ว ยาวถึง 50 เมตร แยกด้วยท่อ pe ต่อเข้าสปริงเกลอ แบ่งปลูกเป็น 2 ช่วง คือหว่านเมล็ดทีละ50เมตร เว้นอีก7วันจึงหว่านอีก50เมตร เพื่อที่จะเก็บได้ไม่พร้อมกัน เพราะคนเก็บมีผมกับแฟน2คน ก่อนจะหว่านลืมบอกว่าต้องตีดินทิ้งไว้ และพรวนดินอีกรอบ ผมใช้จอบพรวนดินกับแฟน2คน ที่ดินยาว 100เมตร กว้าง4เมตร เว้นที่เดิน 2 ข้าง 1เมตร เท่ากับ 3*100 เมตร เกือบรอบสนามฟุตบอลครับ ตอนนั้นคิดเลยว่าเป็นเกษตรกรมันเหนื่อยจริงๆ...
ขอแทรกประวัติของผมนิดนึงนะครับ ผม อายุ26ครับ จบป.ตรี ด้านการโรงแรม ท่องเที่ยวครับ ภรรยา จบวิศวะคอมครับ หันมาทำเกษตรกัน เมื่อปีที่แล้วนี่เองครับ ชีวิตวุ่นวายพอสมควรกว่าจะมาทำเกษตรจริงจังได้ สวนของผมอยู่ จ.ปทุมธานี คลอง13 ครับ ใครสนใจหรืออยู่พื้นที่ใกล้เคียงมาเยี่ยมชมได้ครับ ติดต่อผ่านบล็อคได้เลยครับ
ขอจบแค่นี้ก่อนครับ สำหรับการเริ่มต้น ติดตามต่อบทความต่อไปครับ
ขอแทรกประวัติของผมนิดนึงนะครับ ผม อายุ26ครับ จบป.ตรี ด้านการโรงแรม ท่องเที่ยวครับ ภรรยา จบวิศวะคอมครับ หันมาทำเกษตรกัน เมื่อปีที่แล้วนี่เองครับ ชีวิตวุ่นวายพอสมควรกว่าจะมาทำเกษตรจริงจังได้ สวนของผมอยู่ จ.ปทุมธานี คลอง13 ครับ ใครสนใจหรืออยู่พื้นที่ใกล้เคียงมาเยี่ยมชมได้ครับ ติดต่อผ่านบล็อคได้เลยครับ
ขอจบแค่นี้ก่อนครับ สำหรับการเริ่มต้น ติดตามต่อบทความต่อไปครับ
เริ่มต้นทำเกษตรยังไงดี?
สำหรับคนที่คิดกำลังจะเริ่มทำเกษตร คงมีคำถามมากมาย ปลูกอะไรดี? จะเริ่มตรงไหนดี? พื้นที่ว่างหลังบ้านหรือที่ดินที่มีี จะเริ่มยังไงดี ? เข้าไปอ่านเว็บเกษตรพอเพียง ก็โอ้ย พี่เค้าคุยอะไรกันไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ มาเริ่มต้นพร้อมๆกันเถอะครับ


- สำรวจแหล่งน้ำที่มีก่อนว่าสามารถให้น้ำกับพืชได้มากแค่ไหน เช่น แหล่งน้ำชลประทาน หรือน้ำประปาที่บ้านก็ได้ แต่ต้องดูด้วยว่าเหมาะสมกับพื้นที่เพาะปลูกหรือไม่
- จัดสรรค์ที่ดินให้เหมาะสม เช่น ที่ดินติดกับต้นไม้ใหญ่ หน้าบ้าน หรือศาล หรือไม่
- พืชที่เหมาะสม ปลูกเพื่ออะไร เพื่อความสวยงาม ให้ร่มเงา หรือเพื่อการค้า
ทำสวนหลังบ้านครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ
(
Atom
)