ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559

ดาวเรือง อาชีพเสริม เพิ่มรายได้

    ความรู้ในการปลูกดาวเรือง (เอื้อเฟื้อข้อมูล : กรมวิชาการเกษตร
การปลูก
    1.    ไถเตรียมดิน หว่านปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไป ประมาณ 1 ตัน/ไร่ ยกร่องแปลงปลูกกว้าง 1 เมตร รดน้ำแปลงไว้ล่วงหน้า 1 วัน
    2.    ขุดหลุมกว้าง 15 เซนติเมตร แปลงละ 3 แถว ระยะระหว่างแถว 30 เซนติเมตร ระยะระหว่างต้น 30 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยทริบเบิ้ลซุปเปอร์ฟอสเฟส หรือสูตร 15-15-15 ประมาณ 1    ช้อนชา รองก้นหลุม แล้วเกลี่ยดินข้างหลุมมากลบปุ๋ยเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้รากดาวเรืองสัมผัสปุ๋ยโดยตรง
    3.    นำต้นกล้าที่มีอายุ 7-10 วัน ( นับจากวันเพาะเมล็ด ) โดยแยกต้นกล้าให้มีวัสดุเพาะ หรือดินหุ้มติดรากมาด้วย เพื่อป้องกันรากกระทบกระเทือน นำมาปลูกในแต่ละหลุมที่เตรียมไว้ รดน้ำให้ชุ่ม
    4.    หลังจากนั้น ต้องรดน้ำเช้า-เย็น ประมาณ 7 วัน ซึ่งต้นกล้า จะตั้งตัวได้ดี แล้วจึงรดน้ำเพียงวันละ 1 ครั้ง ในตอนเช้า ในช่วงที่ดอกเริ่มบานไม่ควรรดน้ำให้โดนดอก เพื่อป้องกันดอกเป็นโรค
    5.    เมื่อดาวเรืองอายุ 15 และ 25 วัน ควรใส่ปุ๋ย 15-15-15 ในอัตรา 1 ช้อน : ต้น เมื่ออายุ 35 และ 45 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 ในอัตราเดียวกัน  โดยวิธีฝังลงในดินตื้นๆ ประมาณ ?  นิ้ว ห่างโคนต้น 6 นิ้ว แล้วรดน้ำให้ชุ่มทุกครั้งที่ใส่ปุ๋ย
    6.    ช่วงดาวเรืองอายุ 21-25 วัน ซึ่งเป็นระยะที่ต้นมีใบจริงขนาดใหญ่ ประมาณ 4 คู่ และส่วนยอดมีใบเล็กๆ 1-2 คู่ จะต้องปลิดยอดทิ้งเพื่อให้แตกกิ่งข้าง โดยใช้มือซ้ายจับคู่ใบบนสุดที่จะเหลือไว้ แล้วใช้มือขวาดึงส่วนยอดลงทางด้านข้างจนหลุดออกมา หลังจากนั้น 5-7 วันตาข้างจะเริ่มแตกและเจริญเป็นกิ่งใหม่ ซึ่งจะติดตุ่มดอกทั้งที่ตายอดปลายกิ่งและตาข้าง
    7.    หลังจากปลูก 40-45 วันในแต่ละกิ่ง เมื่อดอกยอดมีขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพดดอกข้างมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ต้องรีบปลิดดอกข้างออกให้หมดภายใน 2-3 วัน คงเหลือดอกยอดไว้ดอกเดียว  เพื่อให้ดอกมีขนาดใหญ่
    8.    หลังจากนั้นประมาณ 20 วัน ( อายุ 60-65 วัน ) ก็ตัดดอกไปจำหน่ายได้ ซึ่งจะได้ประมาณ 10-12 ดอก/ต้น

การลงทุนเบื้องต้น ย้ำว่าเบื้องต้น (อย่าเชื่อจนกว่าจะเริ่มปลูกเอง)
เงินลงทุน
ครั้งแรกประมาณ  15,000 บาท ขึ้นไป / ไร่ ( ไม่รวมค่าที่ดิน )     
(เมล็ดดาวเรืองราคา 0.80 - 1 บาท/เมล็ด  ใช้ปลูก 8,000 กว่าเมล็ด/ไร่)

รายได้
ประมาณ 24,000 บาท ขึ้นไป/ไร่/รุ่น

ดาวเรืองมีหลายพันธุ์ แต่พันธุ์ที่เหมาะสมสำหรับปลูกเพื่อตัดดอกไปจำหน่าย ได้แก่ พันธุ์ซอฟเวอร์เรน ทอรีดอร์ และดับเบิ้ล-อีเกิ้ล ซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางดอกประมาณ 8.5-10 เซนติเมตร

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

----->พริก ปลูกง่าย ขายดี <----

          ปลูกพริกให้ทันช่วงราคาสูง 
          พริก (Capsicum annuum)   ที่ปลูกในจังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ   เป็นพริกขี้หนูผลใหญ่พันธุ์ซุปเปอร์ฮอท ช่อระย้า จินดา  ปลูกในสภาพไร่และสภาพนา พื้นที่ปลูก 24,000 ไร่  ผลผลิตพริกสดทั้งพริกเขียวและพริกแดงออกสู่ตลาดปีละมากกว่า 31,900 ตัน คิดเป็น
มูลค่า 684 ล้านบาท
        พริกที่ให้ผลผลิตสามารถซื้อขายได้ในเดือนพฤศจิกายน  จะหยุดให้ผลผลิตในเดือนพฤษภาคม-
มิถุนายนของทุกปี ทั้งพริกเขียวและพริกแดงสด ช่วงพริกเขียวได้ราคาดีเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม ราคากิโลกรัมละ 20-25 บาท ส่วนพริกแดงได้ราคาดีในเดือนธันวาคม - กลางมกราคม กิโลกรัมละ 40-50 บาท  โดยเฉพาะในปี 2550 ราคาสูงถึง 60-85 บาท/กก.   แน่นอนว่าเกษตรกรทุกคนมีความฝันอยากจะขายได้   เพราะตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน   ราคาจะลดลงเรื่อยๆ จนถึง 8 บาท    และ 15 บาทต่อกิโลกรัม ของพริกเขียวและพริกแดงตามลำดับ เกษตรกรจะหยุดขายเพื่อเก็บพริกสุกแดงเต็มที่ตากแห้ง จำหน่ายในรูปพริกแห้งแทน ดังนั้นจะจัดการอย่างไรจึงจะผลิตพริกออก
จำหน่ายได้ทันราคาสูงตามต้องการ 
          1. ต้องมีที่ดอนน้ำไม่ท่วม  ดินดี มีความเป็นกรด - ด่าง 6 - 6.8   มีอินทรีย์วัตถุ 1.5 % ฟอสฟอรัส 10 - 20 พีพีเอ็ม โปตัสเซียม 60 พีเอ็ม
แคลเซียม 100-200 พีเอ็ม แมกนีเซียม 12-36  พีเอ็ม  มีความร่วนซุยระบายน้ำได้ดี ไม่มีไส้เดือนฝอยรากปม
          2. เริ่มเพาะต้นกล้าพริกตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม - กลางเดือนสิงหาคม เพื่อจะปลูกในเดือนกันยายน ในช่วงดังกล่าวฝนตกชุกที่สุดจะทำให้ต้นกล้าเน่า เพราะน้ำขังหรือดินแน่น เกษตรกรจะมีทางเลือก 2 ทาง

               1. เพาะต้นกล้าในกะบะพลาสติก (ถาดหลุม)   ถาดละ 104 หลุม   ราคาใบละ 18 บาท     โดยเตรียมวัสดุเพาะใส่ถาดหลุมประกอบด้วย ดินผสม ได้แก่ ดิน : แกลบดำ : ปุ๋ยคอก = 4:1:1 นำดินผสมมารวมกับส่วนผสมของปุ๋ยหมักแห้ง + เชื้อไตรโคเดอร์มาสด + รำอ่อนอัตรา (100 กก. + 1 กก. + 5 กก.) อัตราดินผสม : ส่วนผสมของปุ๋ยหมักแห้ง = 4 : 1 เมล็ดพันธุ์ที่จะนำมาเพาะต้องเป็นพันธุ์ดี ไม่มีโรคและแมลง  ก่อนเพาะ 1 วัน ต้องนำไปแช่น้ำอุ่น 55 OC (น้ำเย็น 1 ส่วน + น้ำเดือด 1ส่วน) นาน 20 นาที เพื่อฆ่าเชื้อแอนแทรคโนส(กุ้งแห้ง)ที่สามารถติดมากับเมล็ดพันธุ์ได้ เมล็ดที่ลอยน้ำแสดงว่าลีบให้เก็บทิ้ง    หลังจากนั้นนำไปแช่ในสารละลายสปอร์เชื้อไตรโคเดอร์มาสด (เชื้อสด 4 ถุง + น้ำ 100 ลิตร) แช่เมล็ด 1 คืน จึงเพาะในกะบะหลุมละ 1 เมล็ด กลบดิน เก็บถาดในที่ร่มรำไร หรือมีตาข่ายพรางแสงอย่าให้ถูกฝนโดยตรง

                   หลังจากงอกได้ 15 วัน พ่นน้ำหมักชีวภาพสูตรบำรุงต้นอัตรา 2-3 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร(พ่นทุก 7-10 วัน) จะทำให้ต้นโตเร็วขึ้นไม่ควรใช้ยูเรีย เพราะต้นกล้าจะอวบเกินไป เมื่อต้นกล้าอายุ 1 เดือนนำมาปลูกได้


ตามกระแสบ้างมะนาวในวงบ่อ


เทคนิคการผลิตมะนาวนอกฤดู ในวงบ่อซีเมนต์
          การปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์   เหมาะสำหรับเกษตรกรที่มีเนื้อที่น้อย ดินปลูกพืชอื่นๆ ไม่เหมาะสมผู้ที่สนใจด้านการเกษตร สามารถทำเป็น
อาชีพเสริมได้ดี โดยเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน มะนาวจะมีราคาสูงทุกปีประมาณผลละ 2-7 บาท 
          การปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมจร์สามารถบังคับให้ออกดอก ออกผล ตามวัน เวลา ที่เราต้องการได้ ผลผลิตประมาณ 150-750 ผลต่อต้น ขึ้นอยู่
กับพันธุ์ อายุต้นและการปฏิบัติดูแลรักษา  ซึ่งมีขั้นตอนและวิธีดำเนินการดังนี้
          1. การคัดเลือกพันธุ์ 
              มะนาวที่ปูกในวงบ่อซีเมนต์ใช้ได้ทุกพันธุ์     แต่ที่สำคัญต้องเป็นพันธุ์ที่ตลาดต้องการ  มีการออกดอก ติดผลง่าย ให้ผลดก ผลมีขนาดใหญ่ เปลือกบาง  มีน้ำมาก  มีกลิ่นหอม  และทนทานต่อโรคและแมลง     พันธุ์ที่ตลาดนิยม ได้แก่พันธุ์แป้นรำไพ แป้นจริยา พันธุ์พิจิตร 1 และพันธุ์ตาฮิติ เป็นต้น พันธุ์พิจิตร 1 และพันธุ์ตาฮิติ เป็นมะนาวที่ทนทานต่อโรคแคงเกอร์ที่ผล ใบ และลำต้นดีกว่าทุกพันธุ์
  

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

ตอนกิ่งได้ ตั้ง6แบบ!!


การตอนกิ่ง (Layering)


การตอนกิ่ง หมายถึง วิธีการทำให้กิ่งพืชออกรากในขณะอยู่ติดกับต้นแม่ เมื่อกิ่งตอนนั้นออกรากดีแล้ว จึงตัดไปปลูกต่อไป


การตอนกิ่งเป็นการตัดท่อลำเลียงอาหารของพืชส่วนท่อน้ำยังมีอยู่ตามปกติ จึงทำให้กิ่งที่ทำการตอนได้รับน้ำอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กิ่งตอนสดอยู่เสมอจนกว่าจะออกราก

การออกรากของกิ่งตอน จะขึ้นอยู่กับความชื้น การถ่ายเทอากาศ และระดับอุณหภูมิที่เหมาะสม แต่ถ้าปล่อยให้ดินหรือวัสดุหุ้มกิ่งแห้งโดยมิได้ดูแล ย่อมจะเป็นอุปสรรคต่อการเกิดรากได้เช่นกัน  ดังนั้น ฤดูกาลที่เหมาะสมที่สุดในการตอนกิ่ง ควรเป็นฤดูฝน

การตอนกิ่ง  ใช้แก้ปัญหา โดยเฉพาะพืชบางชนิดที่ไม่สามารถออกรากได้โดยใช้วิธีตัดชำ  แต่ออกรากได้โดยวิธีตอนกิ่ง  สามารถทำได้ง่ายทั้งกลางแจ้งและในเรือนเพาะชำ  นอกจากนี้ กิ่งตอนยังมีจำนวนรากมากกว่ากิ่งตัดชำ เมื่อนำไปปลูก จึงมีโอกาสตั้งตัวได้เร็วและมีเปอร์เซ็นต์การตายน้อยกว่ากิ่งตัดชำ  ประการสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ  พืชต้นใหม่ที่ได้จากการตอน จะมีลักษณะเป็นไม้พุ่มเตี้ย  จึงสะดวกต่อการดูแลปฏิบัติบำรุงรักษาและเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะไม้ประดับ จะได้ทรงพุ่มที่สวยงาม  เป็นต้น  แต่กิ่งตอนมีข้อเสีย คือ พืชที่นำไปปลูกเมื่อโตเต็มที่จะล้มง่าย เพราะไม่มีรากแก้ว

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตอนกิ่ง
1) การทำให้เกิดการสะสมอาหารและสารบางชนิดที่จำเป็นต่อการงอกราก ในบริเวณที่ทำการตอน โดยวิธีการทำให้กิ่งเกิดแผล เพื่อตัดท่อลำเลียงอาหารของพืชในส่วนอื่นๆ จึงเกิดการสะสมอาหารและสารบางอย่างขึ้นเหนือแผลที่ทำการตอน
2) การสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการงอกรากของพืช เช่น ความชื้น อุณหภูมิ และแสงสว่าง 
3) การดูแลรักษา ควบคุมความชื้นหรือการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย อันเกิดจากศัตรูอื่นๆ เช่น มด แมลง สัตว์เลี้ยง เป็นต้น

อุปกรณ์ที่ใช้ในการตอนกิ่ง
1) มีดขยายพันธุ์หรือคัตเตอร์ (Cutter) หรือมีดติดตาต่อกิ่ง
2) ถุงพลาสติกขนาด 2x4 นิ้ว หรือ 3x5 นิ้ว
3) วัสดุหุ้มกิ่งตอน เช่น กาบมะพร้าว ถ่านแกลบหรือขุยมะพร้าว
4) เชือกมัดวัสดุหุ้มกิ่งตอน เช่น เชือกฟาง
5) ฮอร์โมนเร่งราก

รูปแบบการตอนกิ่ง  มีหลายวิธี ที่นิยมกันได้แก่
1)  การตอนกิ่งในอากาศ (Air Layering)
2)  การตอนกิ่งแบบฝังยอด (Tip Layering)
3)  การตอนกิ่งแบบฝังกิ่งให้ยอดโผล่พ้นดิน (Simple Layering)
4)  การตอนกิ่งแบบงูเลื้อย (Compound Layering)
5)  การตอนกิ่งแบบขุดร่อง (Trench Layering)
6)  การตอนกิ่งแบบสุมโคน (Mound or Stool Layering)